ปางทุกกรกิริยา

            พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถ นั่งขัดสมาธิ  พระหัตถ์ทั้งสองซ้อนกันวางบนพระเพลา  พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย  อุตตราสงค์ (จีวร)  อยู่บนพระอังสาเล็กน้อย  ข้างขวาหลุดลงมาวางอยู่บนพระเพลา  ลางแห่งทำแบบจีวรหลุดลงมาหมด  พระกายซูบผอม  พระนหารู  ปรากฏชัด

 

r

 

 

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานดังนี้

นับแต่วาระแรกที่พระบรมโพธิสัตว์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์  ทรงมีกิริยาสงบแผกจากบรรพชิตในเวลานั้น  พระองค์จึงเกิดเป็นบรรพชิตที่สำคัญ ควรที่ผู้มีปัญญาจะพึงสำเหนียกดูพฤติการณ์  ดังนั้นพวกราชบุรุษ จึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร  ราชาธิบดี  แห่งแคว้นมคธ ให้ทรงทราบ  ท้าวเธอจึงรับสั่งให้สะกดรอยติดตามเพื่อรู้ความเท็จจริงของบรรพชิต พิเศษรูปนี้  ครั้นราชบุรุษออกติดตามได้ความจริงแล้ว  ก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้ากรุงมคธให้ทรงทราบ
พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงสดับ  ก็มีพระทัยโสมนัสในพระคุณสมบัติทรงพระประสงค์จะได้พบ  จึงเสด็จด้วยพระราชยานออกจากพระนครโดยด่วน ครั้นถึงบัณฑวะบรรพต ก็เสด็จจากพระราชยาน ทรงดำเนินเข้าไปเฝ้าพระบรมโพธิสัตว์เจ้า เมื่อได้ทอดพระเนตร เห็นพระกิริยาบถเรียบร้อยอยู่ในสมณ สังวร ก็ยิ่งหลากพระทัย ทรงเลื่อมใสในปฏิปทายิ่งขึ้น ครั้นได้ทูลถามถึงตระกูล ประเทศและพระชาติ  เมื่อทรงทราบว่า เป็นขัตติยศากราชเสด็จออกบรรพชา ก็ทรงดำริว่า ชะรอยพระบรมโพธิสัตว์จะทรงพิพาทกับพระประยูรญาติด้วยเรื่องพระราชสมบัติเป็นแม่นมั่น  จึงได้เสด็จออกบรรพชา  อันเป็นธรรมดาของนักพรต ที่ออกจากราชตระกูลในกาลก่อน  จึงได้ทรงเชื้อเชิญพระบรมโพธิสัตว์ด้วย ราชสมบัติ  ซึ่งพระองค์ยินดีจะแบ่งถวายให้เสวยสมบัติสมพระเกียรติทุกประการ
พระบรมโพธิสัตว์ตรัสตอบของพระทัยพระเจ้าพิมพิสาร ที่ทรงมีพระเมตตาแบ่งพระราชสมบัติพระราชทาน แต่พระองค์มิได้มีความประสงค์จำนงหมายเช่นนั้น  ทรงสละราชสมบัติออกผนวช เพื่อมุ่งหมายพระสัพพัญญุตญาณโดยแท้
พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับก็ตรัสอนุโมทนา และทูลขอปฏิญญากะพระบรมโพธิสัตว์ว่า ถ้าพระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอให้ทรงพระกรุณาเสด็จมาแสดงธรรมโปรดด้วย  ครั้นพระบรมโพธิสัตว์ทรงรับปฏิญญาแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับพระนคร
ลำดับนั้น พระบรมโพธิสัตว์ก็เสด็จจาริกจากที่นั้น  ไปสู่สำนักท่านอาฬารดาบส              กาลามโคตร  ซึ่งสร้างอาศรมอยู่ในพนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง ขอพำนักศึกษาวิชาและปฏิบัติอยู่ด้วย  ทรงศึกษาอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรลุสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔  อรูปฌาน ๓ สิ้นความรู้ของอาฬารดาบส ทรงเห็นว่า ธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้  จึงได้อำลาจากอาฬารดาบส ไปสู่สำนักอุทกดาบส รามบุตร ขอพำนักศึกษาอยู่ด้วย  ทรงศึกษาได้อรูปฌานเพิ่มขึ้นอีก ๑  ครบสมาบัติ ๘ สิ้นความรู้ของอุทกดาบส ครั้นทรงไต่ถามถึงธรรมวิเศษขึ้นไป  อุทกดาบสก็ไม่สามารถจะบอกได้  และได้ยกย่องตั้งพระบรมโพธิสัตว์ไว้ในที่เป็นอาจารย์เสมอด้วยตน แต่พระบรมโพธิสัตว์ทรงเห็นว่า ธรรมเหล่านี้มิใช่ทางตรัสรู้ จึงได้อำลาออกแสวงหาธรรมวิเศษสืบไป  ทั้งมุ่งพระทัยจะทำความเพียรโดยลำพัง พระองค์ด้วย  ได้เสด็จจาริกไปยังมคธชนบท  บรรลุถึงตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ได้ทอดพระเนตร เห็นพื้นที่ราบรื่น  แนวป่าเขียวสด  เป็นที่เบิกบานใจ  แม่น้ำไหล มีน้ำไหลสะอาด  มีท่าน่ารื่นรมย์  โคจรคามคือหมู่บ้านที่อาศัย เที่ยวภิกษาจารย์ ก็ตั้งอยู่ไม่ไกล  ทรงเห็นว่าสถานที่นั้น ควรเป็นที่อาศัยของกุลบุตรผู้มีความต้องการ ด้วยความเพียรได้  จึงเสด็จประทับอยู่ ณ ที่นั้น
ฝ่ายโกณฑัญญพราหมณ์  ได้ทราบข่าวว่า  พระสิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาแล้วก็ดีใจ รีบไปชวนบุตรของเพื่อนพราหมณ์ ๘ คน ที่ร่วมคณะถวายคำทำนายพระลักษณะด้วยกัน  กล่าวว่า  บัดนี้พระสิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาแล้ว ตามคำพยากรณ์พระองค์จะต้องได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้  ไม่มีข้อที่จะสงสัยไปเป็นอื่น  ถ้าบิดาของท่านยังมีชีวิตอยู่  ก็จะออกบรรพชาด้วยกันในวันนี้  ดังนั้น หากท่านปรารถนาจะบวช ก็จงมาบวชตามเสด็จพระกุมารด้วยกันเถิด  แต่บุตรพราหมณ์ทั้ง ๗ นั้น หาได้พร้อมใจกันทั้งหมดไม่ ยินดีรับบวชด้วยเพียง ๔ คน โกณฑัญญพราหมณ์ ก็พาพราหมณ์มานพทั้ง ๔ ออกบรรพชา  เป็น ๕ คน ด้วยกัน จึงได้นามว่า “พระปัญวัคคีย์”  เพราะมีพวก ๕ คน คือ พระโกณฑัญญะ  พระวัปปะ  พระภัททิยะ                พระมหานามะ  พระอัสสชิ  ชวนกันออกสืบเสาะติดตามพระบรมโพธิสัตว์เจ้าในที่ต่างๆ จนไปประสบพบพระบรมโพธิสัตว์ ที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม  จึงพากันเข้าไปถวายอภิวาทแล้ว อยู่ปฏิบัติบำรุงจัดทำธุรกิจถวายทุกประการ โดยหวังว่า  เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดตนบ้าง
พระบรมโพธิสัตว์ทรงเริ่มทำทุกกรกิริยา  ซึ่งเป็นปฏิปทาที่นิยมว่า เป็นทางให้ตรัสรู้ได้ในสมัยนั้น  โดยทรมานพระกายให้ลำบาก อันเป็นกิจยากที่บุคคลจะกระทำได้ด้วยการทรมาน เป็น ๓ วาระ ดังนี้ :-
วาระที่ ๑  ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์  กดพระตาลุด้วยชิวหาไว้ให้แน่น จนพระเสโทไหลโซมจากพระกัจฉะ  ในเวลานั้น  ได้เสวยทุกขเวทนากล้า  เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังมากจับบุรุษที่มีกำลังน้อยที่ศีรษะหรือที่คอ  บีบให้แน่นฉะนั้น  แม้พระกายจะกระวนกระวายไม่สงบอย่างนี้  แต่ทุกขเวทนานั้นไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้  พระองค์มีพระสติมั่น ไม่ฟั่นเฟือน  ทรงบากบั่นทำติดต่อไม่ท้อถอย ครั้นเห็นว่า ทรงทำอย่างนั้น  ไม่ใช่ทางให้ตรัสรู้ได้  จึงทรงเปลี่ยน วิธีอื่นต่อไป
วาระที่ ๒   ทรงผ่อนกลั่นลมอัสสาสะปัสสาวะ  เมื่อลมเดินไม่สะดวกทางพระนาสิกและ พระโอฐ  ก็เกิดเสียงดังอู้ทางพระกรรณ ทั้งสองข้าง ให้ปวดรพะเศียร  เสียดพระอุทร ร้อนในพระกายเป็นกำลัง  แม้จะได้เสวยทุกขเวทนากล้าถึงเพียงนั้น  แต่ทุกขเวทนานั้นก็ไม่อาจครองงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้  มีพระสติไม่ฟั่นเฟือน บากบั่น ทำติดต่อไม่ย่อหย่อน  ครั้นทรงเห็นว่า  การทำอย่างนี้  ไม่ใช่ทางให้ตรัสรู้ได้ จึงทรงเปลี่ยนวิธีอื่นต่อไป
วาระที่ ๓  ทรงอดพระอาหาร  ทรงผ่อนเสวย  อดอาหารให้น้อยลงๆ ในที่สุด ก็ไม่เสวย  จนพระกายเหี่ยวแห้ง  พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปารากฎทั่วพระวรกาย  เมื่อทรงลูบพระกายเส้นพระโลมา มีรากเน่าล่วงจากขุมพระโลมา  พระกำลังน้อยลง  จะเสด็จไปข้างไหนก็ซวนล้ม  วันหนึ่งทรงอ่อนพระกำลังอิดโรยหิวโหยที่สุด  จนไม่สามารถจะทรงกระกายไว้ได้  ก็ทรงวิสัญญีภาพ ล้มลงในที่นั้น
ขณะนั้น เทพยดาองค์หนึ่ง สำคัญผิดคิดว่า  พระบรมโพธิสัตว์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงรีบไปยังปราสาทพระเจ้าสุทโธทนะ ณ เมือง กบิลพัสดุ์ ทูลว่า บัดนี้พระสิทธัตถะพระโอรสของพระองค์ ได้สิ้นพระชนม์ชีพเสียแล้ว  พระเจ้าสุทโธทนะรีบสั่งถามว่า  พระโอรสของเราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือยัง เป็นประการใด เทพยดาตอบว่า  ยังมิได้ตรัสรู้  ท้าวเธอไม่ทรงเชื่อ จึงรับสั่งว่า  จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ หากพระโอรสของเรายังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะไม่ด่วนทำลาย พระชนม์ชีพก่อนเลย  แล้วเทพยดาองค์นั้น ก็อันตรธานจากพระราชนิเวศน์ไป
ส่วนพระบรมโพธิสัตว์  เมื่อได้สัญญาฟื้นพระกายกุมพระสติให้ตั้งมั่น ทรงพิจารณาดูปฏปทาในทุกกรกิริยา ที่ทรงทำอยู่ ทรงดำริว่าถึงบุคคลทั้งหลายใดๆ ในโลกนี้ จะทำทุกกรกิริยา อย่างอุกฤษฏ์นี้  บุคคลนั้นก็ทำทุกกรกิริยาเสมออาตมะเท่านั้น  จะทำยิ่งกว่าอาตมะหาได้ไม่  แม้อาตมะจะปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ถึงเพียงนี้แล้ว  ไฉนะหนอจึงยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ  ชะรอยทางตรัสรู้จะมีเป็นอย่างอื่น  ไม่ใช่อย่างนี้แน่  เกิดพระสติหวลระลึกถึงความเพียรทางใจว่า  จะเป็นทางให้ตรัสรู้บ้าง
ขณะนั้น สมเด็จอมรินทราธิราช ทรงทราบข้อปริวิตกของพระบรมโพธิสัตว์  ดังนั้น จึงทรงพิณทิพย์สามสาย ดีดถวายพระบรมโพธิสัตว์  สายหนึ่งตึงนักพอดีดไปหน่อยก็ขาด  สายหนึ่งหย่อนนัก ดีดเท่าใดก็ไม่ส่งเสียง  สายหนึ่งไม่ตึงไม่หย่อนเกิน  พอปานกลาง  ดีดเข้าก็บันลือเสียงไพเราะเจริญใจ  พระบรมโพธิสัตว์ได้สดับเสียงพิณ  ทรงหวลระลึกถึงพิณที่เคยทรงมาแต่ก่อน  ก็ทรงตระหนักแน่  ถือเอาเป็นนิมิต  ทรงพิจารณาเห็นแจ้งว่า  ทุกกรกิริยามิใช่ทางตรัสรู้แน่  ทางแห่งพระโพธิญาณ ที่ควรแก่การตรัสรู้ต้องเป็น มัชฌิมาปฏิปทา  บำเพ็ญเพียรทางจิตปฏิบัติปานกลาง  ไม่ตึงนัก  ไม่หย่อนนัก  จึงใคร่จะทรงตั้งปณิธานทำความเพียรทางจิต  ทรงเห็นว่า  ความเพียรทางจิต เช่นนั้น คนซูบผอมหากำลังมิได้เช่นอาตมะนี้ ย่อมไม่สามารถจะทำได้  ควรจะหยุดพักกินอาหารแข้น คือ ข้าวสุก ขนมสด ให้มีกำลังดีก่อน  ครั้นตกลงพระทัยเช่นนั้นแล้ว ก็กลับเสวยอาหารบำรุง พระวรกายตามเดิม.

            จบตำนานพระพุทธรูปปางทุกกรกิริยา แต่เพียงนี้

ไปหน้าสารบาญพระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

Free Web Hosting