๔๗. ปางสนเข็ม

            พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ  พระหัตถ์ทั้งสอง ยกขึ้นเสมอพระอุระ  พระหัตถ์ซ้าย ทำกิริยา จับเข็มพระหัตถ์ขวาทำกิริยาจับเส้นด้าย  อยู่ในพระอาการสนเข็ม

 

 

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานดังนี้

            พระพุทธรูปปางนี้  เป็นปางที่มีความหมายอันสำคัญปางหนึ่ง ถึงน้ำพระทัย ที่ทรงเอาธุรกิจการของสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในหมู่คณะ  ที่ไม่ทรงดูดายในการงาน ที่เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์  อันจะต้องจัดต้องทำให้เสร็จไป  เมื่อมีสิ่งใดอันพระองค์จะช่วยได้  พระองค์จะทรงกรุณาเอาเป็นธุระร่วมงานด้วย ทรงเป็นกันเองในพระสงฆ์สาวกดังปางสนเข็มนี้  คือเมื่อพระสาวกร่วมกันตัดเย็บจีวร  อันจะต้องให้แล้วเสร็จทันแก่เวลา  เช่นในคราวทำผ้ากฐิน  พระองค์ก็เสด็จไปร่วมเป็นประธานในงานนั้น  เป็นที่ซาบซึ้งในพระเมตตา แก่พระสงฆ์ที่ร่วมงานนั้นเป็นอย่างมาก  ทรงรับธุระช่วยสนเข็มให้ในขณะเย็บผ้าจีวรอยู่  รูปใดด้ายหมด ก็ส่งเข็มถวาย  พระองค์ก็ทรงสนเข็มประทาน

            ข้อนี้เป็นเยี่ยงอย่างอันดี ของผู้เป็นหัวหน้า ในการงานทั่วไป  หากไม่เพิกเฉยเอาเป็นธุระเข้าร่วมด้วยตามโอกาส  ย่อมจะเป็นกำลังใจอย่างดี แก่คณะผู้ร่วมงาน สามารถบันดาลงานนั้น ให้พลันเสร็จเรียบร้อยด้วยดี  เพราะอาศัยพระพุทธรูปปางสนเข็มนี้แหละ  ทำให้คนใจบุญรักการทอดจุลกฐิน  ซึ่งมีงานอันจะต้องจัดต้องทำจีวรให้สำเร็จในวันนั้น เป็นงานที่พระพุทธเจ้าทรงรัก  ทรงพระเมตตาเสด็จร่วม  ทรงพระกรุณารับหน้าที่สนเข็มเย็บจีวร ถือว่าเป็นบุญมาก  เพราะลงทุนลงแรงมาก  มีความพร้อมเพรียงด้วยผู้คนญาติมิตรมาก แม้จนบัดนี้ ก็ยังนิยมทำจุลกฐินกันอยู่ แสดงว่า มีความเลื่อมใส  พอใจงานที่พระพุทธเจ้าทรงโปรด เพื่อรักษา ไว้เป็นเตติสืบไป  น่าอนุโมทนายิ่งนัก

พระพุทธรูปปางนี้  มีตำนานดังนี้
            ครั้งหนึ่งเมื่อพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหารใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธรัฐ ประจวบด้วยเวลานั้น  จีวรของพระอนุรุทธเถระเจ้าเก่าคร่ำ  นอกจากจะได้รับการชุนเย็บปะ  ด้วยน้ำมือของท่านมากครั้งแล้ว เนื้อผ้าจีวรผืนนั้นก็หมดอายุอีกด้วย  เพราะหมดดี  จะใช้เป็นจีวรต่อไปอีกไม่ได้ แปลว่า จะต้องทำใหม่  และเบื้องต้นของการทำจีวร  ก็จะต้องหาผ้าไว้เพียงพอก่อน

            ดังนั้น พระอนุรุทธเถระเจ้า  จึงเที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลตามกองหยากเยื่อ ที่บุคคลนำมาทิ้ง  ด้วยเป็นเศษผ้า หรือเป็นผ้าปฏิกูลบ้าง  ตามสุสานที่บุคคลเอาห่อศพ มาทิ้งไว้ตามราวไพร  หรือสุมทุมพุ่มไม้  ที่บุคคลศรัทธานำมาทอดทิ้งไว้ถวาย  ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “ผ้าป่า”  ในบัดนี้บ้าง เพื่อเอาไปผสมให้พอทำจีวร ในสมัยจีวรกาล(คือเวลาทำจีวรตามพระพุทธบัญญัติที่เรียกว่า เวลาทอดกฐิน ซึ่งมีกำหนด ๑ เดือนเต็ม นับตั้งแต่ออกพรรษาแล้วไป  คือวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒)  ตามนิสัยพระเถระเจ้า  ซึ่งนิยมใช้ผ้าจีวรบังสุกุลเป็นปกติ ดังนั้น  ท่านจึงได้เดินเที่ยวหาผ้าบังสุกุล ในที่ต่างๆ ดังกล่าว

            บังเอิญในเวลานั้น  นางชาลินีเทพธิดา  ในดาวดึงสพิภพ  ซึ่งในอดีตชาติที่ ๓ นับแต่ชาตินั้นไป  ได้เคยเป็นภรรยาที่ดีของพระอนุรุทธเถระ เห็นพระเถระเที่ยวแสวงหาผ้าอยู่ จึงได้เอาผ้าอย่างดี ๓ ผืน กว้าง ๔ ศอก ยาว ๑๓ ศอก มาเพื่อตั้งใจถวายพระเถระเจ้า แต่พลันคิดได้ว่า  หากถวายตรงๆ ดังที่คิดไว้  พระเถระเจ้าอาจไม่รับ เราจะจัดถวายแบบผ้าบังสุกุล  ซึ่งเรียกว่าผ้าป่าเถิด คิดดังนั้นแล้ว  ก็กำหนดดูทิศทางที่พระเถระเจ้าจะเดินผ่านมา  แล้วเอาผ้าทั้ง ๓ ผืนนั้นวางไว้ใกล้ทาง  เอาหยากเยื่อถมไว้  เหลือชายผ้าไว้หน่อยหนึ่ง พอที่พระเถระผ่านมา จะเห็นได้  แล้วหลีกไป

            ครั้นพระอนุรุทธเถระเจ้า เดินแสวงหาผ้าผ่านมาทางนั้น เห็นชายผ้าที่หยากเยื่อทับถมอยู่  จึงได้ถือเอาโดยสำคัญว่า เป็นผ้าบังสุกุล และเมื่อเห็นว่าผ้ามีจำนวนมากพอจะทำจีวรได้แล้ว  ก็เดินทางกลับพระเวฬุวันวิหาร  บอกให้พระสงฆ์ทั้งหลายทราบว่า  ท่านจะทำจีวร ขอให้พระสงฆ์มาร่วมกันช่วยจัดช่วยทำ

            เนื่องจากเวลานั้น  การทำจีวรเป็นธุระของพระสงฆ์  จะต้องจัดต้องทำกันเองทั้งสิ้น  คฤหัสถ์มิได้เกี่ยวข้อง คฤหัสถ์มีธุระเพียงจัดหาผ้าถวายเท่านั้น  และก็ถวายเป็นผ้าขาว  พระต้องเอาไปกะตัดเย็บย้อมเอาเอง  ทังคฤหัสถ์ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจในงานตัดเย็บจีวร  ซึ่งผิดตรงข้ามกับในปัจจุบันนี้  ความจริงแม้ในเวลานี้ ถึงคฤหัสถ์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจตัดเย็บจีวร แต่เฉพาะผู้เป็นช่างเท่านั้น  มิได้ตัดเย็บเป็นทั่วไปทุกคน  แต่พระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ตัดเย็บเป็นทุกรูป  เพราะเป็นหน้าที่ของท่าน จะต้องตัดเย็บใช้เอง  ไม่นิยมใช้ผ้าที่คฤหัสถ์ตัดเย็บถวาย

            เมื่อพระสงฆ์สาวกได้ทราบว่า พระอนุรุทธเถระเจ้า จะทำจีวร  ต่างก็มาพร้อมเพรียงกัน  ตลอดพระมหาสาวก  เช่น พระมหากัสสป  พระสารีบุตร  พระโมคคัลลานะ  และพระอานนท์  ผู้ชำนาญในการกะตัดจีวรเป็นพิเศษ  ก็ได้ มาร่วมประชุมทำจีวรถวายพระอนุรุทธอย่างน่าสรรเสริญ  ต่างรับแบ่งงานออกทำกันตามสามารถทุกองค์  แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงพระเมตตา เสด็จมาประทับเป็นประธาน  ทั้งรับธุระสนเข็มให้  พระที่ช่วยเย็บผ้ารูปใด ด้ายหมด ก็ส่งเข็มถวายพระศาสดา ก็ทรงสนเข็มประทาน  เป็นที่เบิกบานใจแก่มวลพระสงฆ์สาวกที่เข้ามาร่วมทำจีวรร่วมกัน

            อนึ่ง ในการเลี้ยงดูพระสาวกที่มาร่วมทำจีวรครั้งนี้  นอกจากพระโมคคัลลานะเถระ  ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ ควบคุมกิจการทั่วไป  จะพึงสอดส่องให้ความสะดวกแก่พระสาวกทั้งหลายแล้ว ยังนางชินีเทพธิดา เจ้าของผ้าบังสุกุล  ก็ได้ติดตามพระอนุรุทธเถระมาถึงวิหาร  ครั้นเห็นพระสงฆ์สาวกเป็นอันมาก มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข  เสด็จมาประทับเป็นปราน ทำจีวรถวายพระ      อนุรุทธเถระ มีความยินดีมาก  ได้จำแลงกายเป็นอุบาสิกา เข้าไปป่าวร้องในหมู่บ้านว่า เวลานี้ พระสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกได้ประกอบพิธีทำจีวรถวาย พระอนุรุทธเถระ  ควรที่เราทั้งหลาย จะจัดข้าวยาคู และขัชชโภชนาหารถวายพระสงฆ์  ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  เพื่อเราทั้งหลาย จะพึงเป็นผู้มีส่วนบุญในการนี้ด้วย  ต่อมาไม่ช้า ก็มีคนใจบุญ  นำอาหารอันประณีตมาถวายพระสงฆ์ เป็นอันมาก ตามคำชักชวนของนางชาลินิเทพธิดา  พระสงฆ์ทั้งหลายต่างก็มีความ สะดวกสบาย ด้วยอาหารทั่วกัน  ในวันนั้นเอง  ผ้าจีวรอันประณีต  มีค่ามาก  เกิดแต่ฝีมือของพระสงฆ์สาวกพร้อมกัน  กะ ตัด เย็บ  และย้อมด้วยน้ำฝาด  ซึ่งมีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับ เป็นประธาน รับงานสนเข็มให้  ก็สำเร็จเรียบร้อย ตกเป็นสมบัติอันมีค่าของพระอนุรุทธเถระเจ้า สมประสงค์

จบตำนานพระพุทธรูปปางสนเข็ม แต่เพียงนี้

 

( จากตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ โดย พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ  อนุจารี มหาเถระ)
จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธืหอไตร ๒๕๓๓  หน้า  ๒๑๒ - ๒๑๖ )

 

 

ไปหน้าสารบาญ พระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

Free Web Hosting