๖๔. ปางทรงพยากรณ์

            พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถนอนตะแคงข้างขวาลืมพระเนตร พระเศียรหนุนพระเขนย พระหัตถ์ซ้าย ทอดทาบไปตามพระกายเบื้องซ้าย  พระหัตถ์ขวายกขึ้นประทับที่พระอุทร

 

 

พระพุทธรูปปางนี้  มีตำนานดังนี้

            เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จพระพุทธดำเนินไปนครกสินารา เสด็จแวะเข้าพักที่ร่มไม้ริมทาง  เสวยอุทกัง ที่พระอานนทเถระเจ้า น้อมเข้าถวาย ระงับความกระหาย เป็นสุขดีแล้ว ยังทรงพักผ่อนพระกายอยู่ตามอัธยาศัย

            ครั้งนั้น ปุกกุสสบุตรแห่งมัลลกษัตริย์ ผู้เป็นสาวกของท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร เดินทางจากเมืองกุสินารา  เพื่อจะไปยังปาวานคร โดยทางนั้น ครั้นมาถึงที่นั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ร่มไม้ใหญ่ริมทาง  จึงเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่ง  ณ ที่ควร  พระศาสดาได้ทรงพระกรุณาแสดงสันติวิหารธรรมโปรด  ปุกกุสะได้สดับแล้ว เกิดความเลื่อมใสได้น้อมคู่ผ้าสิงคิวรรณ อันมีเนื้อละเอียด  มีสีดังทองสิงคี งาม  ประณีต  มีค่ามาก  ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยกราบทูลว่า  “ขอพระผู้มีพระภาคได้ทรงอนุเคราะห์ รับคู้ผ้าสิงคิวรรณนี้  เพื่อประโยชน์สุขแด่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด”

            พระศาสดาทรงรับสั่งว่า  “ปุกกุสะ ถ้าเช่นนั้น  เธอจงคลุมกายตถาคต เพียงผืนเดียว อีกผืนหนึ่ง จงให้อานนท์เถิด”

            ปุกกุสะ  มัลลบุตร ได้น้อมผ้าเข้าถวายเป็นพุทธบริโภคผืนหนึ่ง  ถวายพระอานนทเถระผืนหนึ่ง  ตามพระพุทธบัญชา

            พระบรมศาสดา  ได้ทรงแสดงธรรมีกถา ให้ปุกุสมัลลบุตร เบิกบาน รื่นเริงในกุศลจริยาตามสมควร  แล้วปุกกุสะก็อภิวาททูลลาไป

            เมื่อปุกกุสะมัลลบุตรไปแล้ว  พระอานนทเถระได้นำผ้าสิงคิวรรณทั้ง ๒ ผืนเข้าถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง  ผ้าสิงคิวรรณ เป็นผ้าประณีต มีสีงาม  เหมือนถ่านไฟที่ปราศจากเปลว  เมื่อพระเถระนำเข้าถวายปกคลุมพระกาย  เป็นพุทธบริโภคทั้งคู่  ทันใดผิวกายของพระผู้มีพระภาค ก็งามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก

            พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่งว่า “เป็นความจริงดั่งอานนท์สรรเสริญกายของตถาคตงามบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งใน ๒ เวลา คือ เวลาที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ และเวลาที่จะปรินิพพาน ๑  อานนท์ ๒ เวลานี้แล กายของตถาคตงามบริสุทธิ์ยิ่งนัก  อานนท์ในยามที่สุดแห่งราตรีวันนี้แหละ  ตถาคตจะปรินิพพาน ณ ระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ณ สาลวันแห่งมัลลกษัตริย์  ใกล้เมืองกุสินารา  อานนท์  เรามาไปพร้อมกันยังแม่น้ำกกุธานที”  พระอานนท์รับพระบัญชามาแจ้งให้พระสงฆ์ทราบทั่วกัน

            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโดยมรรคานั้น  จนถึงแม่น้ำกกุธานที เสด็จลงเสวยและสนานสำราญพระพระกาย ตามพระอัธยาศัย  แล้วเสด็จขึ้นมาประทับยังร่มไม้  รับสั่งให้    พระจุนทเถระ  ลาดสังฆาฏิถวาย  ด้วยขณะนั้น พระอานนท์กำลังบิดผ้าชุบสรงอยู่  แล้วพระบรมศาสดา ก็เสด็จบรรทมระงับความลำบากพระกาย ที่ตรากตรำมาในระยะทาง

            เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพักผ่อนพอบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยแล้ว  จึงตรัสแก่       พระอานนท์ว่า  “ อานนท์  ต่อไปภายหน้า  หากจะพึงมีใครทำความร้อนใจแก่นาย                      จุนทกัมมารกบุตร  ว่า “พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพาน เพราะบิณฑบาตทานที่ท่านถวายเป็นครั้งสุดท้าย ท่านทั้งหลายพึงช่วยระงับเสียให้สงบ  พึงทำความสงบใจให้แก่นายจุนทะว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญว่า  อันบิณฑบาตทาน ที่ถวายพระตถาคต ใน ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้ว  ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ครั้ง ที่พระตถาคตเจ้าเสวยแล้ว เสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ เป็นทานมีผลมาก  มีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตทานทั้งหลาย  เป็นกุศลกรรม  ทำให้เจริญ อายุ  วรรณะ สุขยศ และสวรรค์  ดังนี้เถิด”

            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ได้เสด็จออกพุทธดำเนินข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี  ในเมืองกุสินารานคร  แล้วเสด็จเข้าไปยังสาลวันอุทยาน ของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารานคร  โปรดให้พระอานนท์ปูลาดเตียงที่บรรทม  ณ ระหว่างไม้รัง (สาละ) ทั้งคู่  แล้วเสด็จขึ้นบรรทมสีหไสยา  มีสติสัมปชัญญะ  แต่มิได้มีอุฏฐานสัญญามนสิการ คือไม่คิดว่าจะลุกขึ้นอีกต่อไป  เพราะเหตุเป็นไสยาวสาน คือนอนครั้งสุดท้าย นิยมเรียกว่า อนุฏฐานไสยา (นอนไม่ลุก)

            ครั้งนั้น ต้นรังทั้งคู่เผลด็ดอกบานเต็มต้น  ร่วงหล่นมายังพระพุทธสรีระบูชา  พระตถาคตเจ้าเป็นอัศจรรย์  แม้ดอกมณฑาในเมืองสวรรค์ ตลอดทิพยสุคนธชาติ  ก็ตกลงมาจากอากาศบูชาพระตถาคตเจ้า ใช่แต่เท่านั้น  ยังเทพยเจ้าทั้งหลาย  ก็ประโคมดนตรีทิพย์  บันลือลั่นเป็นมหานฤนาท บูชาพระตถาคตเจ้าในอวสานกาล

            พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับสั่งกะพระอานนท์เถระว่า “อานนท์ การบูชาพระตถาคตด้วยอามิสบูชาแม้มากเห็นปานนี้ก็ไม่ชื่อว่า บูชาพระตถาคตเจ้าอันแท้จริง  อานนท์ ผู้ใดแล มาปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่งในธรรม  ผู้นั้น ชื่อว่าบูชาพระตถาคตเจ้าด้วยการบูชาอย่างยิ่ง”  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระกรุณาเตือนพุทธบริษัทให้หนักแน่นอยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติ  เพื่อทรงประสงค์  จะให้พระศาสนาสถิตสถาพรดำรงอยู่ในโลก  ตลอดกาลนิรันดรด้วยประการฉะนี้

            ขณะนั้น  พระอุปวาณะเถระยืนถวายงานพัดอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับสั่งให้พระอุปวาณะ ถอยออกไปเสีย  พระอานนท์เกิดปริวิตกว่า ความจริงพระอุปวาณะก็เป็นพุทะอุปัฏฐากที่ใกล้ชิดพระบรมศาสดามานานแล้ว  ไฉนหนอในกาลครั้งสุดท้ายนี้  พระบรมศาสดาจึงไม่ทรงโปรดให้การปฏิบัติดังเช่นเคย  น่าจะมีเหตุอะไร  จึงได้เข้าเฝ้าทูลถาม

            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “อานนท์  ขณะนี้เทพยดาทั้งหมดทุกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า ได้มาประชุมกันบูชาพระตถาคต โดยหวังจะได้เห็นพระตถาคตในครั้งสุดท้าย  แต่พระอุปวาณะ ได้มายืนขวาง ณ เบื้องหน้าเสีย เทพยดาทั้งหลาย พากันยกโทษ  ด้วยไม่สมประสงค์ที่ตั้งใจมา  ดังนั้นตถาคตจึงสั่งให้พระอุปวาณะ ถอยออกไปเสียจากที่เบื้องหน้านี้”

            ครั้งนั้น พระอานนทเถระเจ้าได้กราบทูลว่า “ในกาลก่อน เมื่อออกพรรษาแล้ว บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายในทิศต่างๆ ย่อมเดินทางเข้ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เข้าใกล้สนทนาปราศรัย  ได้ความเจริญใจ  ครั้นผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักไม่ได้โอกาสดีเช่นนี้อีก จะได้แต่ความเศร้สลดใจในเวลานั้น”

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลนี้ คือสถานทีทพระตถาคตเจ้าประสูติจากพระครรภ์ ๑  สถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑  สถานที่พระตถาคตเจ้า แสดงธรรมจักร ๑  และสถานที่พระตถาคตเจ้า ปรินิพพาน ๑  สถานที่ทั้ง ๔ ตำบลนี้ ควรที่พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุรี  อุบาสก  อุบาสิกา  ผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า จะดู จะเห็น และควรจะให้ความสังเวชทั่วกัน  อานนท์  ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ได้เที่ยวไปยังเจดีย์สังเวชนียสถานเหล่านี้  ด้วยความเลื่อมใส  ชนเหล่านั้น  ครั้นทำกาลกิริยาลง  จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”

            ลำดับนั้น พระอานนท์เถระเจ้า  ได้กราบทูลถามถึงเรื่องวิธีปฏิบัติในพระพุทธสรีระว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติในพระพุทธสรีระเป็นไฉน”

            ดูกรอานนท์ ท่านทั้งหลายอย่าได้ขวนขวายเลย จงตั้งหน้าบำเพ็ญเพียร เพื่อที่สุดแห่งพรหมจรรย์โดยชอบเถิด  บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ และคฤหบดี  ทั้งหลายที่เลื่อมใสเคารพนับถือในพระตถาคตมีอยู่มาก  เขาเหล่านั้น จักทำสักการะบูชาสรีรระแห่งพระตถาคตเอง”

            “ก็กษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น จะพึงปฏิบัติในสรีระโดยวิธีเช่นใดเล่า พระเจ้าข้า”
             “อานนท์ ผู้รู้ทั้งหลายย่อมปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตเจ้าเป็นแบบเดียวกันกับวิธีปฏิบัติในพระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราช นั้นแล”
            “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็วิธีปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิราชนั้น มีแบบเป็นไฉนเล่าพระเจ้าข้า”
            “ดูกรอานนท์  ชนทั้งหลายย่อมพันพระสรีระแห่งพระเจ้าจักรพรรดิราช ด้วยผ้าขาวซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าขาว ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญพระสรีระลงในหีบทองอันเต็มไปด้วยน้ำมันหอม  เชิญขึ้นบนจิตรกาธารซึ่งทำด้วยไม้จันทน์หอม ถวายพระเพลิง  แล้วเชิญพระอัฐิธาตุไปทำพระสถูปบรรจุไว้ ณ ที่ประชุมแห่งถนนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ เพื่อเป็นที่ไหว้สักการบูชาของมหาชนผู้สัญจรไปมา แต่ทิศทั้ง ๔ เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
            “อานนท์ บุคคลผู้ควรแก่การประดิษฐานในสถูป เรียกว่าถูปารหบุคคล มี ๔ ประเทศคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑  พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑  พระสาวกอรหันต์ ๑  พระเจ้าจักรพรรพิ ๑  บุคคลพิเศษทั้ง ๔ นี้ ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูป  เพื่อเป็นที่สักการบูชากราบไหว้ของมหาชนด้วยความเลื่อมใส  เพราะสามารถเป็นพลวปัจจัย ทำให้ผู้กราบไหว้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ตามกำลังศรัทธาเลื่อมใส”

            ครั้งนั้น พระอานนท์เถระเจ้าเข้าไปในวิหาร  ยืนเหนี่ยวกลอนประตูวิหาร ร้องไห้คิดสังเวชตัวเองว่า “อาภัพมาก อุตส่าห์ติดตามปฏิบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดุจเงาติดตามพระองค์ โดยมุ่งยึดเอาพระองค์เป็นนาถะ เพื่อทำความสิ้นทุกข์  บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นก็จะเสด็จปรินิพพาน ในราตรีนี้แล้ว  ทั้งๆที่ เราก็ยังเป็นเสขบุคคลอยู่”

            เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทอดพระเนตรเห็นพระอานนท์อยู่ในที่นั้น ก็รับสั่งถามพระภิกษุทั้งหลาย  ครั้นทรงทราบความแล้ว  ตรัสให้ไปตามพระอานนท์ เข้ามายังที่เฝ้า  แล้วรับสั่งด้วยพระมหากรุณาว่า “อานนท์ อย่าเลย เธออย่าเศร้าโศรก อย่าร่ำไรเลย  เราได้บอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยวถาวร จะหาความเที่ยงแท้จากสังขารได้แต่ที่ไหน อานนท์ ทุกสิ่งที่มีเกิดในเบื้องต้นแล้ว  จะต้องแปรปรวนในท่ามกลาง  และในที่สุดก็ต้องสลายลง เช่นเดียวกันหมด    ต่อนั้นได้ทรงพระมหากรุณาตรัสพยากรณ์ประทานแก่พระอานนท์เถระ         “ อานนท์ เธอเป็นบุคคลที่มีบุญ ได้สั่งสมไว้มากแล้ว  เธอจงอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรเถิด ไม่ช้าเธอจักได้ถึงความสิ้นอาสวะ คือจักได้เป็นพระอรหันต์ ก่อนวันพระสงฆ์ทำปฐมสังคายนานั้นแล”

            ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงอตีตัวสญาณอันวิเศษ ได้ทรงพยากรณ์พระอานนท์ในที่ประชุมสงฆ์เช่นนั้นแล้ว  ก็ตรัสสรรเสริญคุณสมบัติพิเศษของพระอานนท์ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายที่เสด็จดับขันะปรินิพพานไปแล้วก็ดี  แม้ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้าก็ดี บรรดาภิกษุผู้อุปัฏฐากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ก็ทรงคุณสมบัติเหมือนอานนท์  อุปัฏฐากของเราในบัดนี้แหละ

            “ภิกษุทั้งหลาย  อานนท์เป็นบัณฑิต ประกอบธุรกิจด้วยปัญญารอบรู้ว่ากาลใด บริษัทใดจะเข้าเฝ้า  อานนท์ก็จัดให้เข้าเฝ้า  ตามควรแก่สถานะวิสัย แห่งภิกษุ  ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา  กษัตริย์ คหบดี  และเดียรถีย์ ได้ถี่ถ้วนทุกประการ
            “อนึ่ง เมื่อบริษัทได้เข้าใกล้  ได้เห็นอานนท์ก็มีจิตยินดี  เมื่ออานนท์แสดงธรรม ก็ชื่นชม ไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ด้วยธรรมกถาของอานนท์เลย เมื่ออานนท์หยุดพักธรรมกถา  บริษัทก็ยินดีเบิกบานในธรรมกถาที่แสดงแล้ว ประหนึ่งพระเจ้าจักรพรรดิ ประทานความชื่นชม ด้วยภาษิตแก่กษัตริย์  พราหมณ์ เป็นต้น ฉะนั้น.....”

            จบตำนานพระพุทธรุปปางทรงพยากรณ์แต่เพียงนี้

( จากตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ โดย พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ  อนุจารี มหาเถระ)
จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธืหอไตร ๒๕๓๓  หน้า  ๓๒๒ - ๓๒๙ )

 

ไปหน้าสารบาญ พระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

Free Web Hosting