๔๐. ปางประดิษฐานรอยพระบาท

            พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน  พระบาทซ้ายเหยียบหลังพระบาทขวา เป็นกิริยา กดรอยพระบาท พระหัตถ์ทั้งสองประสานที่พระเพลา  เป็นอาการสังวร  ตั้งพระทัยประดิษฐาน ให้รอยพระบาทปรากฏชัด มีลายลักษณ์พระบาทครบบริบูรณ์

 

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานดังนี้


ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า  เสด็จประทับอยู่ที่โฆสิตาราม  ในพระนครโกสัมพี  ทรงอาศัยพระนครนี้เป็นที่แสดงธรรมโปรดประชากรให้ตั้งอยู่ในมรรคผล เป็นพุทธมามกะชน ปฏิญญาณตน มั่นอยู่ในพระรัตนตรัย เป็นอันมาก

            ในเวลานั้น ที่แคว้นกุรุรัฐ  มีพราหมณ์ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติคนหนึ่งชื่อว่า  มาคันทิยะ  พราหมณ์ผู้คฤหบดีผู้นี้มีภรรยาชื่อว่า  มาคันทิยา  มีธิดาคนหนึ่งมีรูปร่างงดงามยิ่งนัก  กล่าวกันว่า เสมอด้วยเทพอักษร  เป็นที่รักใคร่สุดสวาทของพราหมณ์ทั้งสองผู้เป็นบิดามารดา เป็นอันมาก  ได้ให้นามแก่ธิดาว่า “มัคันธิยา”  เหมือนกับนางพรหมณีผู้เป็นมารดา  ท่านมาคันธิยะพราหมณ์ เป็นคนพิถีพิถัน เลือกบุตรเขยมาก  เพราะว่าธิดาของตนงามมากอย่างหนึ่ง  ทั้งฐานะของตระกูลตนก็มั่งคั่งประการหนึ่ง  จึงไม่ยอมตกลงให้แก่ชายผู้มาสู่ขอธิดา  โดยปฏิเสธว่า  ชายผู้ที่มาขอนั้น ไม่คู่ควร แก่ธิดาของตน
วันหนึ่ง  พระบรมศาสดาทรงตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก ในเวลาใกล้รุ่ง ด้วยพุทธจักษุ  ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งอนาคามีผล ของมาคันทิยะพราหมณ์ ทั้งพราหมณ์พราหมณีผู้เป็นภรรยา  ครั้นเวลาเช้าทรงบาตร จีวรของพระองค์แล้ว เสด็จไปยังสถานที่บำเรอไฟของมาคันทิยะพราหมณ์ ซึ่งตั้งอยู่ในภายนอกบ้าน  โดยลำพังพระองค์เดียว

            ฝ่ายมคันทิยะพราหมณ์  ออกจากบ้านแต่เช้าไปสถานที่บำเรอไฟ เพื่อประกอบพิธีบูชาไฟ อันเป็นกิจวัตรประจำวัน  ได้เห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ซึ่งงามพร้อมด้วยศิริวิลาศอันเลิศด้วยบุรุษลักษณะทุกประการ ก็ตลึงอยู่ในความงามนั้นยิ่งนัก  ออกอุทานในใจว่า นับแต่เราเกิดมาจนอายุปานนี้แล้ว  ยังไม่เคยเห็นชายที่มีความงามทุกประการเช่นนี้ งามเหมือนเทพเจ้า ไม่น่าเชื่อว่า ในโลกนี้ยังจะมีชายรูปงามเหมือนชายผู้นี้อีก  ชายคนนี้ ถ้าได้กับลูกสาวของเราจะสมกันยิ่งนัก  เอาละเราจะให้ลูกของเราแก่ชายนี้แหละ  เพื่อจะได้เป็นคู่ครองความสุขสืบไป

            เนื่องจากในสมัยนั้น  แคว้นกุรุ ยังไม่มีพระพุทธศาสนาไปประดิษฐาน ไม่มีพระสงฆ์จาริกไปเผยแพร่พระศาสนา  ชาวเมืองยังไม่รู้เรื่องพระศาสนา ไม่รู้เรื่องของพระสงฆ์  แม้มาคันทิยะ-พราหมณ์ กำลังเป็นเช่นนั้น  ไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็เท่ากับเห็นชายงามพิเศษคนหนึ่ง ที่ตนไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน

            อนึ่ง ประกอบด้วยเวลานั้น  มาคันทิยะพราหมณ์ กำลังเลือกสรรชายงาม ให้แก่ธิดาที่สุดสวาทอยู่ด้วย  ดังนั้น เมื่อมาคันทิยะพราหมณ์ ได้เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีใจ  นึกเป็นโชคดี อย่างคาดไม่ถึง  จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วปราศรัยด้วยถ้อยคำไพเราะว่า  ดูก่อนบุรุษ ท่านเป็นชายที่มีความพร้อมดังเทพบุตร  มีความสง่าในทีท่า ดังพญาราชสีห์  ข้าพเจ้ามีธิดาคนหนึ่ง งามพร้อมด้วยศิริโฉม  เหนือความงามของสตรีทั้งหลายในเมืองนี้  ข้าพเจ้า ใคร่จะได้ชายงาม เพื่อเป็นคู่ครองแก่ธิดาของข้าพเจ้า  และตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าเลือกหาอยู่  ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบปะ ขายงามเสมอด้วยท่านเลย  ดังนั้นการได้พบท่านในขณะนี้  จึงควรจะนับได้ว่า เป็นฤกษ์ดี, ยามดี, และโชคดี ทั้งท่านและข้าพเจ้า  ตลอดธิดาของข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้ารักท่าน  และแน่ใจว่า ท่านเท่านั้น  ที่เป็นชายทรงคุณลักษณะสมควรแก่ความเป็นคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับธิดาของข้าพเจ้า  ท่านควรจะได้นางไว้เป็นบริจาริกา  และนางก็ควรจะได้ท่านเป็ภัสดา  ข้าพเจ้าจะถือโอกาสอันเป็นมงคลนี้แหละ  ไปนำนางมามอบให้แก่ท่าน  ขอท่านจงยืนรออยู่ที่นี้ จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมา

            พระบรมศาสดา ไม่ทรงรับสั่งอะไรๆเลย  ได้ทรงดุษณียภาพ นิ่งอยู่ คอยหาโอกาส ที่จะแสดงธรรม โปรดมาคันทิยะพราหมณ์สืบไป
ฝ่ายมาคันทิยะพราหมณ์รีบไปเรือน  อารามดีใจละล่ำละลัก เรียกภรรยาว่า  มาคันทิยา   มาคันทิยา.....  มีธุระอะไรหรือท่านมาคันทิยะ  ทำไมวันนี้จึงรีบกลับเรือนแต่เช้าทีเดียวละท่าน
ก็เพราะมีโชคดีละซิเธอ ....    โชคดีอะไรกันท่าน
มาคันทิยะพราหมณ์  เตือนภรรยาให้ตั้งใจฟังอีกครั้งหนึ่ง  แล้วพูดว่า  เธอคงจะนึกทวนความจำได้  ตลอดเวลา ๒-๓ ปีมานี้  ฉันไม่มีความสุขในเลย  คือนับแต่ลูกของเราเป็นสาวขึ้น  ฉันพยายามบอกปัดชายที่มาสู่ขอลูก พยายามเที่ยวแสวงหา ชายงาม เพื่อจะนำมาให้เป็นคู่ครองลูกของเรา  ซึ่งมีความงามเหนือสตรีในเมืองนี้  แม้จะพยายามมาปีแล้วปีเล่า  ก็ไม่ได้พบชายงามสมใจเลย  ถึงเธอก็ได้ปลีกเวลาสืบเสาะช่วยกันหาอยู่ ไม่น้อยเหมือนกัน  ตลอดเวลานั้น ขอสารภาพว่า ฉันไม่มีความสุขเลย  แต่เธอเอ๋ย  เธอ !  เช้าวันนี้เป็นวันที่ฉันหมดทุกข์  มีความเบิกบานใจเป็นที่สุด  ฉันจะไม่ลืมความสุขใจในวันนี้เลย  มาคันทิยา  ฉันได้พบชายงามแล้ว   ชายคนนี้  ง๊าม งาม  มาคันทิยา  งามจริงๆ  งามบอกไม่ถูก  ทั้งรูปร่าง, ทั้งผิวพรรณ, ท่วงที  งามไปหมดทุกสิ่ง ทุกอย่าง  ฉันได้ตกลงยกลูกสาวของเราให้เขาแล้ว  มาคันทิยา  เป็นโชคดีของลูกจริงๆ ที่ได้สามีงามเหมือนเทพบุตร  ความจริงก็เป็นโชคดีทั้งของเธอและของฉันด้วย ที่มีลูกเลยงามเป็นเทวดา

            นางพราหมณีตลึงในคำบอกเล่าของพราหมณ์  และก็มีความแน่ใจด้วย  เพราะไม่เคยเห็นสามีมีความดีใจและพูดสรรเสริญชายงามเหมือนวันนี้เลย จึงกล่าวว่า  ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ก็นับว่า เป็นบุญตัวของลูกมากทีเดียว  แต่ชายคนนั้นชื่ออะไร  เป็นคนที่ไหนนะท่าน
มาคันทิยาพราหมณ์ พูดตัดบทว่า  แม่คุณเถอะ  อย่ามาทำเป็นหมอความซักถามอยู่เลย  รีบจัดแจงตบแต่งลูกเร็วๆเข้าเถอะ  เราจะได้พาลูกไปมอบให้แก่ชายงาม ซึ่งยืนคอยอยู่ที่โรงไฟ นอกบ้านโน้น  แต่วันนี้ แต่งให้งามเป็นพิเศษหน่อยน๊ะ  มาคันทิยา

            นางมาคันทิยพราหมณี  ไม่รีรอ ให้เป็นที่ขัดใจสามี  ทั้งใจก็อยากจะเห็นชายงามคนนี้อยู่ด้วย  รีบเข้าไปในเรือน  บอกความประสงค์ให้ธิดาทราบเรื่องดีแล้ว  ก็กระวีกระวาด ช่วยแต่งตัวให้ธิดาครู่เดียว ก็เสร็จเรียบร้อย  แล้วพาธิดา ออกมาพบสามี

            มาคันทิยะพราหมณ์ กล่าวโลมใจธิดาว่า  วันนี้ลูกแต่งตัวสวยงมาก พ่อจะพาลูกไปพบกับชายงาม  ซึ่งพ่อเชื่อว่า ลูกจะถึงตาพึงใจเขามากทีเดียว  พูดแล้วเดินนำภรรยา และธิดาออกจากบ้าน เดินตรงไปโรงบำเรอไฟ ใกล้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับยืนอยู่

            ก่อนนั้นเวลาที่มาคันทิยะพราหมณ์จะพาภรรยา  และธิดามาถึงที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกดรอยระบาทเบื้องขวา  ให้ปรากฏลายลักษณะบริบูรณ์ยังภาคพื้นที่ประทับยืนนั้นแล้ว  ได้เสด็จจากที่นั้น ไปประทับยืนอยู่ในที่ไม่ไกลจากนั้น
เมื่อมาคันทิยะพราหมณ์ พาคนทั้งสองมาถึงที่นั้น ไม่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็ประหลาดใจ  กล่าวยืนยันกะภรรยาว่า  มาคันทิยา  ฉันพบชายงามคนนั้นตรงนี้แหละ  ก่อนที่จะจากเขาไปหาเธอ  ฉันได้สั่งเขาให้ยืนรออยู่ตรงนี้  พูดพลางชี้รอยพระบาทนั้นให้ภรรยาดู  พร้อมกับกล่าวว่า  “นี่ยังไงล่ะ”  รอยเท้าของเขายังปรากฏใหม่ๆอยู่

            นางพราหมณีเป็นสตรีที่ได้ศึกษา  ในวิทยาพยากรณศาสตร์มามาก เมื่อได้พิจารณาดูรอยพระบาท พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยถี่ถ้วนแล้ว  ก็ทราบได้ทันที  พลางกล่าวแก่สามีว่า  ท่าน         มาคันทิยะ  สิ่งที่ท่านหวังไว้นั้น  น่าจะหลุดลอยเสียแล้ว
ไหน  ความหวังที่ฉันะจะหลุดลอยอย่างไร  มาคันทิยะพราหมณ์กล่าวถ้อยความไม่พอใจ  ชายคนนั้นดีไม่จริงดังฉันพูดงั้นหรือ
ไม่ใช่อย่างนั้น  พ่อมาคันทิยะ  นางพราหมณีอธิบาย “ไม่ใช่ชายคนนั้นไม่ดี  ความจริงชายนั้นงามมาก  แม้ฉันะจะยังไม่เห็น  เพียงรอยเท้าเขา ก็บอกให้รู้ว่า  เขางามเหมือนพรหม  ดีไม่มีที่ตำหนิ  สมดังคำพ่อมาคันทิยะว่า  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย  นั่นแหละ  ก็เช่นนั้นแล้ว  ทำไมความหวังของฉัน จึงจะหลุดลอยไปเสียเล่า  มาคันทิยะ ซัก
เพราะชายผู้นี้ดีเกินกว่าที่จะมาเป็นสามีของลูกนะซี  นางมาคันทิยา กล่าวซ้ำอีก  ชายผู้นี้มีคุณสมบัติเลิศในโลก  เป็นที่บูชาของคนทั้งหลายตลอดแม้เทพเจ้าทั้งมวล  ด้วยรอยพื้นเท้าทีปรากฏอยู่ในภาคพื้นนี้  ตามคัมภีร์พยากรศาศตร์ แสดงไว้ชัดดังนี้ :-

            รตฺสสฺส   หิ  อุกฺกุฏิกํ  ปทํ  ภเว,                  คนมากด้วยราคะ พื้นเท้าจะเว้าลึกเข้าไป
ทุฏฐจสฺส  โหติ  สหสานุปีฬิตํ,                   คนมากด้วยโทสะ จะหนักส้นเท้า
มุฬฺหสฺส  โหติ  อวกฑฺฒิตํ  ปทํ,                 คนมากด้วยโมหะ จะหนักปลายเท้า
วิวฏจฺฉทสฺส  อีทมีทิสํ  ปทํ,                       ส่วนคนมีพื้นเท้าเสมอเช่นนี้เป็นผู้หา  ราคะ,
โทสะ, และโมหะ มิได้

            ฉันจึงกล้ายืนยันได้ว่า  ชายผู้นี้ดีเกินกว่าที่จะมาเป็นสาลีของลูก  ดังนั้นความหวังของท่าน จึงน่าจะหลุดลอย ไม่สำเร็จ
แม้มาคันทิยะพราหมณ์ จะเชื่อในวุฒิของภรรยาอยู่  แต่ด้วยความรัก ความอยากได้มาก ไม่ชอบให้ใครขัดใจ  จึงพูดแดกว่า  แม่มหาจำเจิญพูดเป็นเห็นตะเข้ในโอ่ง  เห็นขโมยในมุ้งทีเดียวนะ  นิ่งเสียทีเถิด

            “ท่านมาคันทิยะ”  นางพราหมณีน้อยใจ  ไม่ยอมหยุด  “ท่านจะด่าฉันอย่างไรก็เชิญเถิด  ตามชอบใจ  แต่จงจำไว้นะว่า  รอยเท้าคนเช่นนี้นะ  เป็นรอยเท้าของคนเมินกาม”
มาคันทิยะไม่สนใจในถ้อยคำของนางพราหมณี  เดินไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปได้หน่อย  ก็พบพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ก็ดีใจเรียกภรรยา และธิดาให้มาใกล้แล้วว่า “ คนนี้ยังไงล่ะ  ชายงามที่ฉันบอก  แล้วทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ท่านผู้มีความสงบ สดใส  ดังน้ำในบึง  ฉันขอมอบธิดาที่รักของฉัน แก่ท่าน เพื่อเป็นคู่ตรองสืบไป”

            พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับสั่งตอบรับ  เรื่องธิดาของพราหมณ์อย่างไรเลย  เป็นแค่ตรัสว่า  ถ้าท่านพอใจจะฟัง  ฉันจะเล่าเหตุการณ์ที่เกี่ยวกะตัวฉัน ให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง
“เชิญเล่าไปเถิด  ท่านผู้มีโชคดี”   มาคันทิยะพราหมณ์ ตอบรับด้วยความพึงใจ

            ต่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้ทรงเล่าชีวประวัติของพระองค์ตอนหนึ่ง จับแต่พระองค์เสด็จออกมหาพินษกรณ์และบำเพ็ญบารมีจนได้ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วทรงย้ำในตอนแรกตรัสรู้ว่า  ในขณะที่เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้อชปาลนิโครธ  ธิดาพญามารทั้ง ๓  ได้จำแลงเป็นสตรีรุ่นเจริญด้วยศิริรูปโสภาสรรพองค์หาที่ติมิได้  มาร่ายรำเล้าโลมล่อเราด้วยมายา อันเย้ายวนมีประการต่างๆ  และพร้อมที่จะยินยอมบำรุงบำเรอ  หากเรานิยมให้ชื่นชม สมประสงค์เสมอ  ถึงอย่างนั้น ความพอใจในเมถุนธรรมกะธิดาแห่งมารนั้นก็มิได้มีแก่เรา  แม่แต่เท้าของเรา ก็ยังไม่ประสงค์ ที่จะถูกต้อง แล้วอย่างไรเราจะพอใจ ธิดาของท่าน ซึ่งมีกายเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเช่นนี้เล่า

            แล้วทรงแสดงธรรม โปรดพราหมณ์ทั้งสอง  โดยมิควรแก่วิสัย  ในเวลาจบพระธรรมเทศนา  มาคันทิยะพราหมณ์กับนางพรามหณี  ก็ได้บรรลุอริยผล  ดำรงอยู่ในชั้นพระอนาคามีบุคคล  ต่อนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เสด็จกลับมาประทับยังพระนครโกสัมพี

            ส่วนมาคันทิยะพราหมณ์  ได้มอบธิดาของตนแก่จูฬกมาคันทิยะพราหมณ์ ผู้เป็นน้อง ให้เป็นผู้ปกครอง  พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติ  แล้วชวนภรรยาออกบวช  ต่อได้ได้บรรลุพระอรหัตตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพุทธศาสนา

จบตำนานพระพุทธรูปปางประดิษฐาน รอยพระบาทแต่เพียงนี้

( จากหนังสือตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม  ราชบัณฑิต ( ชอบ อนุจารี มหาเถระ  จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธิหอไตร  ๒๕๓๓ หน้า ๑๗๑-๑๗๘)

 

ไปหน้าสารบาญพระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

Free Web Hosting