๕๕. ปางโปรดช้างนาฬาคิรี

            พระพุทธรูปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถยืน  ห้อยพระหัตถ์ซ้าย ยกพระหัตถ์ขวายื่นออกไป ข้างหน้าเสมอพระนาภี  คว่ำพระหัตถ์  เป็นกิริยาทรงลูบกระพองศีรษะช้างนาฬาคิรีที่มาเฝ้า อยู่แทบพระบาทด้วยพระเมตตา

 

 

 

พระพุทธรูปปางนี้  มีตำนานดังนี้

            ในสมัยเมื่อพระสัมพุทธเจ้า  เสด็จประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในพระเวฬุวันวิหาร  ทรงอาศัยราชคฤห์พระมหานครเป็นที่โคจรภิกษาจาร บำเพ็ญพุทธกิจ  ประสาธน์ ประสิทธิมรรคผล ให้สำเร็๗แก่พุทธเวไนย  ทรงประทานพรหมจรรย์ แก่ผู้เลื่อมใสในสันติวรบทเป็นพิเศษ  เพื่อให้บรรลุอจลเขตปฏิสัมภิทา ทรงเผยเกียรติคุณของพระศาสนา ให้รุ่งเรือง ไพศาลพิศิษย์ ดังโอภาสแห่งดวงพระอาทิตย์ อุทัย ยังนภาลัยเประเทศ  ให้ประชาสัตว์ตื่นจากสรรพกิเลสนิทรา  ประชาชนพากันเคารพบูชาเป็นอเนก  ด้วยเล็งเห็นพระศาสนา เป็นมรรคาเอก  อันควรดำเนิน  เพราะเป็นคุณเครื่องจำเริญประโยชน์ สุขทั้งภพนี้และภพหน้า

            ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตสัตตุราช  ยังอ่อนพระชันษา และปรีชาสามารถ ทั้งหมกมุ่งด้วยความกำหนัด  ทรงเลื่อมใสในพระเทวทัตผู้เป็นอาจารย์ มาแสดงปาฏิหาริย์ล่อลวงให้ลุ่มหลง  ทำให้ท้าวเธอปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร  พระชนกนาถ  เป็นปิตุฆาตอนันตริยกรรม  ซ้าไม่เลื่อมใสในพระบรมศาสดา  ด้วยเชื่อคำพระเทวทัต ริษยา แกล้งใส่ไคล้ให้เข้าพระทัยผิดถึงกับมืดมิดด้วยโมหะ ไม่เห็นเหตุ  ยอมให้พระเทวทัตหาเลศทำลายล้างพระบรมศาสดา  เริ่มต้นแต่ขอนายขมังธนูมาเป็นครั้งแรก  แล้วส่งไปให้ลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า  ด้วยธนูอันกำซาบด้วยยาพิษ  แต่นายขมังธนูกลับมีจิตเลื่อใสพระพุทธเจ้า  ยอมตนเข้าขอเป็นพุทธบุตร  ด้วยพระพุทธบารมี  พากันยินดีรับเบญจวิรัติปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท  พระเทวทัต ก็ก่อกรรม วินาศอย่างอื่นต่อไป  ด้วยวิสัยอันธพาล
            ครั้งหนึ่ง ลอบขึ้นไปที่พระพุทธวิหาร ณ ยอดเขาคิชฌกูฏ  พุทธสำนักในเวลาเช้า  ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงมาโปรดสัตว์  ครั้นเสด็จกลับจาก บิณฑจาริกวัตรแล้ว  พระองค์ก็ขึ้นคิชฌกูภูผา  พระเทวทัต ก็ได้ผลักก้อนศิลา อันใหญ่ให้กลิ้งลงมา  หมายจะปลงพระชนม์พระบรมศาสดา ให้ดับสูญ  แต่ด้วยเดชแห่งพระกุศลบุญญานุกูลช่วยอภิบาล  ก้อนศิลาก็ปวัตนาการ กลิ้งไปห่างจากช่องทางเสด็จ  เพียงแต่พระบาทกระทบสะเก็ดหินทำให้ห้อพระโลหิตช้ำ ซึ่งก่อเข็ญเป็นอนันตริยกรรม ให้แก่พระเทวทัต เป็นเนริยกสัตว์ ในอเวจีนรกสืบไปภายหน้า  เมื่อไม่สมความปรารถนา ก็หาอุบายใหม่ ด้วยวิสัยอำมหิตจิตลามก หาโอกาสเข้าไปยอยกถวายพระพร  แต่จอม นริสอดิศรรอชาตสัตตุราชาธิบดี  ขอพระราชทานช้างนาฬาคิรีราชหัตถีช้างพระที่นั่ง ซึ่งกำลังซับมันกล้า เพื่อจะปล่อยให้เข่นฆ่าพระพิชิตมาร ยามเมื่อเสด็จทรงภิกษาจารโปรดสัตว์ในเวลาเช้า ด้วยอกุศลจิตคิดเป็นเจ้าปกครองสงฆ์  ในเมื่อสิ้นสุดพระพุทธองค์ไปแล้ว
            เมื่อพระเทวทัต ได้รับพระราชทานช้างจากพระเจ้ากรุงมคธแล้ว ก็รีบมาปลุกปั่นยอยกให้ลาภยศแก่นายควาญช้าง ให้นายควาญช้างรับธุระมอมเหล้าช้างนาฬาคิรีให้เมา เพิ่มกำลังบ้าคลั่งด้วยซับมันขึ้นอีกแรงหนึ่ง  และกำชับให้ปล่อยช้างในเวลาเช้า ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ตามถนนภายใน พระนครราชคฤห์นี้ วิสัยสัตว์ไม่รู้จักคนชั่วคนดี  อย่างหนึ่งอย่างใด  ก็จะไล่ทิ่มแทง พระจอมไตรโลกาจารย์  ยามเมื่อเสด็จภิกษาจาร พร้อมด้วยพระสาวกสงฆ์ ให้ย่อมยับอัปปางลงเป็นผงธุลี  สิ้นชื่อพระชินศรีครั้งนี้แล

            ครั้นข่าวนี้รั่วไหลไปยังพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ผู้เลื่อมใสอยู่ในพระพุทธศาสนา ต่างพากันมาชุมนุมกันว่า ถ้าจะมีเป็นการ หากเราจะนิ่งเฉย ให้พระศาสดาจารย์ เข้าเผชิญหน้า กับคชสารซับมันกล้า จักเป็นอันตรายแก่พระบรมศาสดา  ซ้ำเสื่อมเกียรติยศแห่งพระศาสนาที่นับถือ  เมื่อได้หารือตกลงกันแล้ว ก็พากันไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ยังพระเวฬุวันวิหาร แล้วกราบทูลถึงเหตุการณ์ อันร้ายแรง จะพลันมีในวันพรุ่งนี้เวลาเช้า ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้างดภิกษาจาร  กับขอได้โปรดรับบิณฑยาหาร ที่อารามนี้พร้อมด้วยพระสาวกบรรดีทุกพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้มีเจตจำนงนำอาหารมาอังคาส ขอได้โปรดประทานโอกาสแก่มวลข้าพระยุคลบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ถ้าตถาคตจักออกไปทรมานช้างนาฬาคิรี ยังท่ามกลางพระนครแล้ว  จึงค่อยพาพระสงฆ์คลาดแคล้วกลับมารับไทยทานที่พระวิหารนี้ เวลากาล ก็พอยังมีปฏิบัติได้  เพื่อให้เกิดธรรมาพิสมัย แก่ประชาสัตว์ ที่ได้เห็นเหตุการณ์ของพระเทวทัต และพระมหากษัตริย์ร่วมกันประกอบทุรกรรม ซึ่งเป็นการผิดจากศีลธรรมไม่ควรดำเนิน แต่กลับก่อให้จำเริญเกียรติพระศาสนา  ครั้นพระบรมศาสดา ดำริแล้วก็ทรงรับนิมนต์ ด้วยดุษณีภาพ  ให้ผู้นิมนต์รับทราบ  แล้วทูลลา

            ครั้นรัตติกาลผ่านมาถึงเวลาอรุณรุ่งเช้า พระมหากรุณาธิคุณเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกบริการ ก็เสด็จพระพุทธดำเนินออกภิกษาจารยังพระนครราชคฤห์  ตามบรรดาประเทศถนนหลวง  ประชาชนชาวเมืองทั้งปวงได้เห็น พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกต่างก็พากันปริวิตกไปต่างๆนานา พวกที่มีศรัทธาสัมมนาปฏิบัติ ก็มีความโสมนัส ชื่นบานว่า วันนี้จักได้ชมบุญญาภินิหาร พระบรมโลกนาถ  จะทรมานพญากุญชรชาติช้างพระที่นั่ง ให้สิ้นพยศ พวกที่มีน้ำใจคิดคดลามกมิจฉาจิต  ก็คิดไปในทางร้าย ว่าวันนี้จะได้เห็นความวินาศวอดวาย ของพระสมณโคดม  ช้างนาฬาคิรี จักทิ่มแทง ให้สิ้นลมมลายชีพ  แล้วต่างก็พากันเร่งรีบปีนป่ายต้นไม้ใหญ่  และที่อื่นใดซึ่งพอจะพ้นภัยและมองเห็นได้สบาย คอยดูอยู่มากมายเหลือที่จะคณนา
            ส่วนนายควาญช้างพระที่นั่ง  แรกแต่ได้รับคำสั่งของพระเทวทัต ก็พากันจัดแจงหาสุราบาน ที่แรงกล้ามาเตรียมไว้  ครั้นรุ่งอรุโณทัย ทิวาวาร ก็พากันนำออกมากรอกพระยา           เศวตคชนาฬาคิรีช้างพระที่นั่ง  ซึ่งกำลับคลุ้มคลั่งซับมัน สิ้นน้ำจัณฑ์ ๑๖ กระออม เป็นกำหนด  ทำให้พญาช้างเกิดพยศร้ายแรง  เพราะฤทธิ์สุรา  ชูงวงยกงากระทืบเท้าสะเทือนแท่น  ส่งเสียงร้องแปร๋แปร้น อุโฆษ ก้องโกญจนาทน่าสะพรึงกลัว  เบ่งตัวบิดตีนสะบัดปลอกมุ่งจะวิ่งออกไปลงงาทุกสิ่ง ที่ผ่านหน้าให้พินาศ ครั้นรุ่งแสงสุริโยภาส เป็นเวลาทรงบาตรพระบรมสุคต นายควาญช้าง ก็เปลื้องปลดปลอกปล่อยพญาช้างนาฬาคิรี ให้ออกสู่วิถีทางเสด็จภิกษาจาร  พญาช้างนาฬาคิรี ก็วิ่งทะยานออกสู่ถนน  บรรดาเหล่ามหาชนก็ตะโกน ร้อนกันต่อๆไป  ให้รีบหลบหาความปลอดภัย อันจะพึงมี  ทันใดนั้น พญาเศวตหัตถีก็ส่งเสียงกึกก้องโกญจนาทวิ่งตรงมา ยังวิถีทางพระโลกนาถ เสด็จพระพุทธดำเนิน จึงมหาชนก็พากันร้องทูลเชิญ ให้หลบช้างจะทำร้าย  แม้พระภิกษุปุถุชน ที่กลัวตาย ก็วุ่นวาย กราบทูลพระบรมศาสดา ให้เสด็จหนี  ว่าพญานาฬาคิรีราชหัตถีเชือกนี้  ดุร้ายใจอำมหิต ไม่รู้จักพระจักเจ้าเหล่าบัณฑิตตลอดความถูกผิดใดๆ มุ่งแต่จะทำความบรรลัยแก่คนและสัตว์เฉพาะหน้า   ส่วนพระสงฆ์องค์พระอรหันต์ไม่มีจิตประหวั่นว่าภัยใดจะบังเกิดมี  พากันเดินตามพระชินศรีด้วยความสงบเป็นสง่า  ตามวิสัยของพระสงฆ์ ผู้ทรงคุณปฏิสัมภิทาญาณวิเศษ  จึงปรากฏว่าเป็นบุญญเขตควรแก่ไทยทาน  อันชาวโลกจะพึงสักการบูชา

            ขณะนั้น  พระอานนทเถระพุทธอุปัฏฐาก  ครั้นช้างนาฬาคิรีร้ายวิ่งเข้ามา ใกล้พระผู้มีพระภาคในครั้งนั้น  โดยที่พระคุณท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์  จึงมีความหวาดหวั่นพรั่นใจ  เกรงอันตราย จะพึงมีแก่สมเด็จพระชินศรีสัมพุทธเจ้า พระเถระเจ้าจึงคิดว่า อาตมาได้รับความเมตตากรุณา จากสมเด็จพระมหากรุณาธิคุณนี้ใหญ่หลวง  เหลือที่จะเอาอะไร มาตักตวงประมาณได้  เมื่ออาตมามายังติดตาม รอยพระยุคลบาทอยู่เช่นนี้   จักปล่อยให้ช้างนาฬาคิรี มาทำร้ายพระองค์หาบังควรไม่   ใช่วิสัยพุทธอุปัฏฐาก สมควรจะออกป้องกันภัย   มิให้บังเกิดมีแก่พระผู้มีพระภาคพุทธองค์  แม้ชีวิตของอาตมา จะดับลงเพราะฤทธิ์ช้างก็ชอบแล้ว เสมือนหนึ่ง ว่าแลกเอาร่มฉัตรัตนแก้ว ที่กั้นโลกให้ดำรงอยู่ ไม่มีผู้รู้ทั้งหลายจะพึงตำหนิ ครั้นพระเถระเจ้าดำริแล้วเช่นนั้น  ก็พลันวิ่งออกไปกั้นสกัดช้างนาฬาคิรี  น้อมถวายชีวิตพระชินศรีโดยยอมให้ราชหัตถีทิ่มแทงกระทืบเอาตามประสงค์ แต่ขอกันเอาองค์พระโลกนาถให้นิราศภัย   เห็นประจักษ์แก่ตาคนทั้งหลายด้วยประการฉะนี้
            ครั้งนั้น   พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงพระมหากรุณาตรัสเรียกพระอานนท์ เถระเจ้าให้ถอยออกมาถึง ๓ ครั้ง   พระอานนท์ก็ยับยั้งยืนหยัดสกัดช้างนาฬาคิรีอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงเห็นพระอานนท์ยอมตายไม่คิดกลับ  จึงทำปาฏิหาริย์ ขับช้างนาฬาคิรีคชสาร   ซึ่งกำลังตรงเข้ามาจะประหารพระเถระเจ้า ให้ตกใจ กระโพงไปในทางที่อื่น ไม่อาจเข้าใกล้ ขณะนั้น  มีสตรีผู้หนึ่งกลัวภัย ไม่สามารถจะระงับใจ   ครั้นเห็นช้างวิ่งเข้ามาใกล้ก็ทิ้งบุตรไว้กลางถนน วิ่งตามฝูงคนไปไม่เหลียวมา ปล่อยให้ลูกดิ้นร้องน่าเวทนา ด้วยกลัวตาย   เป็นที่สังเวชใจแก่มหาชน ทันใดนั้น ช้างนาฬาคิรี ก็วิ่งวนเข้ามามุ่ง จะพิฆาตฆ่าทารกนั้นตามวิสัยสัตว์   สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิ์รัตนวิสุทธิญาณ  จึงทรงแผ่พระเมตตา ภินิหารทานดิลกดังหนึ่งทรงหลั่งสิโดทกให้ตกต้องดวงใจคชสาร ซึ่งกำลังเดือดดาล ด้วยสุราบาน และซับมัน ให้ความเมาทั้งสองประการนั้นดับสนิท  ทั้งให้มีจิตประกอบเมตตา ไม่เข้าไปบีฑาทารกนั้นให้เป็นอันตรายได้วิบัติ   แล้วพระองค์ทรงพระเมตตาเอื้อนอรรถตรัสเรียก ช้างนาฬาคิรีให้เข้าเฝ้า  เมื่อพญาช้างสร่างเมา ก็สิ้นพยศ ยกงวงจบบนกระพองศีรษะ   แสดงความคารวะ ในพระสัมพุทธเจ้า หมอบเข้าถวายอภิวาท แทบพระยุคลบาท พระบรมศาสดา จึงสมเด็จพระจอมสงฆ์ ได้ทรงยกพระหัตถ์ลูบกระพองศีรษะคชสารด้วยความเมตตา  แล้วประทานโอวาทว่า “ดูกรนาฬาคิรีเอย !  แต่นี้ไปเจ้าจงสลัดตัดเสียเลย ซึ่งปาณาติบาต อย่าได้ประมาท จิตคิดอาฆาต โกรธแค้นใครๆ จงมีเมตตาจิตทั่วไปในคนและสัตว์  จงมีจิตโสมนัสหนักแน่น ในเมตตาขันติ เมื่อเจ้าวางวายจากภพนี้แล้ว จะได้ไปสู่สิคติสถาน  พ้นจากสัตว์เดรัจฉานอันต่ำศักดิ์   ช่างเป็นกุศลคุณบุญอันหนักที่เจ้ามาพบเราตถาคต จงอุตส่าห์ตั้งใจกำหนด วิรัติปฏิบัติจนตราบเท่าอายุขัยนั้นเถิด

            ครั้งนั้น พญาช้างนาฬาคิรี ตัวประเสริฐ  เกิดตื้นตันใจหลั่งน้ำตาไหลรินอาบหน้า  แล้วก้มเศียรเกล้าลงวันทารับพระโอวาท   ถวายบังคมพระยุคลบาท  แล้วเดินกลับหลัง ยังโรงช้าง ด้วยท่าทางอันสงบเสงี่ยมเป็นอันดี   ปรากฏแก่ประชาชนทิชาชีอยู่ทั่วหน้า   มหาชนก็พากันสักการบูชาพระบรมศาสดา  โห่ร้องกันลั่นสนั่นไป ว่าสมเด็จพระจอมไตร ทรงทรมานพญาคชสารนาฬาคิรีให้สิ้นพยศแล้ว  และทรงได้ชัยชำนะอันเป็นมงคล  ตั้งต้นแต่พระมหากษัตริย์ และพระเทวทัตลงมา จนแม้ช้างนาฬาคิรี ซับมันกล้าก็สิ้นฤทธิ์   แล้วสมเด็จพระธรรมสามิตก็พาพระสงฆ์สาวก เสด็จกลับไปรับไทยทาน   ซึ่งพุทธบริษัทจัดถวายที่พระเวฬุวันวิหาร

            มหาชนพากันแซ่ซ้องสาธุการมากกว่ามาก   พากันบูชาพระผู้มีพระภาคด้วย       สักการะวรามิส เฉลิมฉลอง พระเกียรติที่ทรงพิชิตช้างนาฬาคิรี ให้พ่ายแพ้ด้วยธรรมาวุธ  เป็นความชำนะที่ประเสริฐสุด   สูงกว่าชัยชำนะทุกประการ

จบตำนานพระพุทธรูป ปางโปรดช้างนาฬาคิรีแต่เพียงนี้

( จากตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ โดย พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ  อนุจารี มหาเถระ)
จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธืหอไตร ๒๕๓๓  หน้า  ๒๗๖-๒๘๒)

 

 

 

 

 

Free Web Hosting