๒๓ ปางห้ามสมุทร

 

 

            (เรียกเต็มว่า ปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร)
พระพุทธรุปปางนี้  อยู่ในพระอิริยาบถยืน  พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอพระอุระ  ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาห้ามเป็นแบบพระทรงเครื่องก็มี

 

พระพุทธรูปปางนี้มีตำนานดังนี้

            เมื่อพระบรมศาสดาโปรดพระยสะแล้ว  ต่อมาก็แสดงธรรม โปรดวิมละ  สุพาหุ  ปุณณชิ  และควัมปติ  เสฏฐีบุตร รวม ๔ คน กับมาณพอีก ๕๐ คน  ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนของพระยสะ  ให้สำเร็จแล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา  รวมเป็นอริยสงฆ์ สาวก ๖๐ องค์ด้วยกัน  เมื่อพระบรมศาสดาทรงเห็นว่า  บัดนี้ควรจะประกาศศาสนาได้แล้ว  จึงตรัสเรียกพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์มาแล้ว  ทรงรับสั่งว่า “ ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย  ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ แม้พวกเธอทั้งหลาย  ก็พ้นจากบ่วงทั้งหลายเช่นกัน  พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนทั้งหลาย  เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชุมชน เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์  แต่อย่ารวมกันไปทางเดียว ตั้งแต่สองรูป จงแยกกันไปแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในนัยน์ตาน้อยมีอยู่ สัตว์พวกนี้ย่อมเสื่อมจากคุณที่ควรได้  เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมีเป็นแน่  ภิกษุทั้งหลาย แม้เราเองก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเช่นกัน
          ครั้นทรงส่งพระสาวก ๖๐ องค์ ไปประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  ครั้นถึงไร่ฝ้าย  ทรงพบภัทรวัคคีกุมาร ๓๐ คน  ได้ทรงแสดงธรรม โปรดกุมารทั้ง ๓๐ คนนั้น ให้บรรลุธรรมเบื้องสูงแล้ว  ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ให้เป็นภิกษุในพระศาสนาแล้ว  ทรงส่งให้ออกไปประกาศพระศาสนาทั้ง ๓๐ องค์ เช่นเดียวกับพระสาวกทั้ง ๖๐ นั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จตอ่ไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เสด็จเข้าไปประทับอาศัยอยู่ในสำนักของอุรุเวลากัสสป  หัวหน้าชฏิล ๕๐๐  ผู้เป็นที่เคารพนับถือของมหาชน ใน มคธรัฐ เป็นอันมาก
          ต่อมาก็ทรงทำปาฏิหาริย์นานัปการ เริ่มตั้งแต่ทรมารพญานาคในโรงไฟอันเป็นที่ นับถือของชฏิล เหล่านั้นให้สิ้นฤทธิ์แล้ว ประทับอยู่ที่โรงไฟนั้นโดยผาสุกวิหาร  ให้ชฏิลทั้งหลายมีความเคารพนับถือในอานุภาพของพระองค์แล้ว  ทรงทำปาฏิหาริย์อื่นๆอีก  ในครั้งสุดท้ายทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำ  ซึ่งไหลบ่ามาจากทิศต่างๆ ท่วมสำนักท่าน          อุรุเวลกัสสป มิให้น้ำเข้ามาในที่พระองค์ประทับ  พระองค์เสด็จจงกรมภายในวงล้อมของน้ำ ที่ท่วมท้น เป็นกำแพงรอบด้าน ครั้งนั้น ชฏิลทั้งหลายพากันพายเรือมาดู ต่างเห็นเป็นอัศจรรย์ในที่สุด ก็สิ้นพยศ ทั้งหมด ยอมเป็นศิษย์ตั้งอยู่ในพระโอวาท   ถึงกับลอยบริขารของชฏิล ลงทิ้งเสียในแม่น้ำแล้ว  ขออุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา
          พระพุทธจริยา ทีทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำครั้งนี้ ได้เป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน ในอิทธิปาฏิหาริย์ ของพระพุทธเจ้า ถือเป็นมงคลอันสูง เป็นคุณอัศจรรย์ยิ่ง เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูป ปางนี้ เรียกว่า “ ปางห้ามสมุทร”
          แต่พุทธศาสนิกชนที่หนักในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ นิยมในคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสั่งสอน  เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่า  แม้จะได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้นไว้  ก็หาได้ปรารภถึงเหตุนี้ไม่  แต่ได้ปรารภเหตุอื่น จะขอยกมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
          ในพระนครกบิลพัศดุ์ อันเป็นแว่นแคว้นที่ประทับอยู่ของเจ้าศากยะ ซึ่งพระญาติข้างฝ่ายพระพุทธบิดา กับพระนครเทวทหะอันเป็นแว่นแคว้นที่  ประทับอยู่ของเจ้าโกลิยะ 
ซึ่งเป็นพระญาติข้างฝ่ายพระพุทธมารดา  ทั้งสองพระนครนี้ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโรหินี  ชาวนาของเมืองทั้งสองนี้อาศัยน้ำในแม่น้ำโรหินี นี้ทำนาร่วมกันมาโดยปกติสุข  สมัยหนึ่งฝนน้อย  น้ำในแม่น้ำก็น้อย ชาวนาทั้งหมดต้องกั้นทำนบทดน้ำในแม่น้ำนี้ขึ้นทำนา  แม้ดังนั้นแล้วน้ำก็หาเพียงพอไม่  เป็ฯเหตุให้มีการแย่งน้ำทำนากันขึ้น  ชั้นแรกก็เป็นการวิวาทกันเฉพาะเพียงบุคคลต่อบุคคล  แม่เมื่อไม่มีการระงับด้วยสันติวิธี  การวิวาทก็ลุกลามมากขึ้น  จนถึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าประหารกัน  และด่าว่า กระทบถึงชาตโคตร  และลามปามไปถึงราชวงศ์ในที่สุด  กษัตริย์ผู้เป็นพระญาติของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระนคร  ก็กรีฑาทัพออกประชิดกันยังแม่น้ำโรหินี  เพื่อสัมประหารกัน โดยหลงเชื่อคำเพ็ดทูลของอำมาตย์ ที่กำลังเคียดแค้นกัน  มิทันได้ทรงวินิจฉัยให้ถ่องแท้ว่า  เมื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว ควรจะทรงระงับเสียด้วยสันติวิธี  อันชอบด้วยพระราโชบายที่รักษา สันติสุข ของประเทศ

            พระบรมศาสดาทรงทราบ  ก็ทรงพระมหากรุณาเสด็จไปห้ามสงคราม แย่งน้ำระหว่างพระญาติทั้งสอง  โดยทรงแสดงโทษ คือความพินาศย่อยยับของชีวิตมนุษย์  โดยไม่พอที่จะต้องพากัน ล้มตายทำลายเกียติของกษัตริย์ เพราะเหตุแห่งน้ำเข้านาเล็กน้อย  คร้นพระญาติทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจคืนดีกันแล้ว  ก็เสด็จพระพุทธดำเนินกลับ

พระพุทธจริยาที่ทรงแสดงตอนนี้  เป็นมงคล  แสดงอานุภาพของพระธรรม ที่พระองค์แสดง พุทธศาสนิกชนผู้หนักในธรรม  เล็งเห็นเป็นคุณอัศจรรย์ ยิ่งแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์ จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ ขึ้นเรียกว่า ปางห้ามสมุทร บ้าง  เรียกว่า ปางห้ามญาติ บ้าง ดังนั้น ปางห้ามสมุทร และปางห้ามญาติ จึงเป็นปางเดียวกัน  แต่มีบางท่านกล่าวค้านว่า  ปางห้ามญาติยกมือเดียว  ปางห้ามสมุทร ยก ๒  และแล้วก็ถูกบางท่านกล่าวค้านว่า ไม่ถูกปางห้ามสมุทรยกมือเดียว ปางห้ามญาติ ยก ๒ มือ  คือห้ามทั้งสองฝ่าย  ต้องยก ๒ มือ  ถ้ายกมือเดียว  ก็ห้ามฝ่ายเดียว  ไม่เป็นธรรม  ฝ่ายที่ไม่ถูกห้ามก็จะได้ใจ แต่ฝ่ายถูกห้ามจะเสียใจ  จะไม่เชื่อถือ  แล้วสงครามก็จะไม่สงบ
ตามเหตุผลเรื่องหลังนี้แยคคายดีกว่า  ถ้าเรียกพระพุทธรูปปางนี้รวมกัน เป็นชื่อเดียวว่า “ปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร”  เรื่องก็น่าจะยุติ ด้วยสมเหตุสมผล  ควรแก่การเชื่อถือ  ตามนัยนี้  นอกจากผู้เชื่อถือจะไม่ถูกวินัยว่า เชื่องมงายแล้ว ยังเป็นเกียรติอันสูงแก่พระบรมศาสดา ที่ทรงพระมหากรุณา ควรแก่การเทิดทูน ของชาวโลกอีกด้วย

            เรื่องพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติ  เป็นพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ ๒ ข้างนี้  เข้าใจว่า มีนักปราชญ์ สันนิษฐานว่า เป็นความจริงมาแล้ว  แม้แต่พระมหากษัตริย์ ทีทรงพระปรีชาสามารถในเรื่องนี้  ก็ทรงเลื่อมใสในพระพุทธจริยาตอนนี้  และได้ทรงสร้างขึ้นไว้ด้วยพระราชศรัทธาก็มี  ทั้งดูเหมือนมีพระราชประสงค์จะทรงให้เป็นคุณประโยชน์ ดังเรื่องราวของพระพุทธรูปปางนี้ด้วย
ขอให้เรานึกทวนความจำอีก อีกหน่อย  คือลองนึกถึงภาพพระพุทธรูปปางห้ามพระญษติแย่งน้ำในสมุทร  หรือทีเรียกสั้นๆว่า  ห้ามสมุทรที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตน-ศาสดาราม  หรือนิยมเรียกว่า โบสถ์พรแก้ว  ในพระบรมหมาราชวังอีกสักครั้ง  ทุกท่านที่เคยเข้าไปไหว้พระแก้วแล้ว ก็ยังคงพอจะจำภาพพระพุทธรูปปางนี้ได้ทุกคน  ทราบว่าเป็นของพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้าง  เป็นพระชนาดใหญ่ทั้งสององค์ ซ้ำทำวิตรงดงาม  บุด้วยทองคำหนักถึงองค์ละ หลายสิบชั่ง ยังมีแบบไม่ทรงเครื่องขนาดก็ไม่เล็กนัก  ดูเหมือนมีอีก ๑๐ องค์ อะไรเป็นเหตุให้สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ซึ่งพระองค์ก็เป็นนักปราชญ์  ทรงซาบซึ้งถ่องแท้ ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี  ทรงสร้างพระพุทธรูปปางนี้

            ข้าพเจ้าเข้าใจว่า การที่สมเด็จพระนั่งเกล้าฯองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น คงจะมีพระประสงค์ไม่เพียงเป็นที่สักการบูชาเท่านั้น  เพราะถ้าเพียงเป็นที่สักการบูชาอย่างเดียวแล้ว  เฉพาะพระแก้วมรกตก็น่าจะพอพระหฤทัย  จุใจมหาชนชาวไทยดีแล้ว  ถ้าไม่อย่างนั้น  ก็น่าจะทรงสร้างไว้หลายๆปาง  และก็คงจะไม่ทรงสร้างเพื่อแสดงว่า  พระพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำอันจะไหลมาท่วมพระองค์เป็นแน่  ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จะต้องแน่พระหฤทัยว่า  พระปางนี้ จะต้องเป็นปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร  ดังที่ปรากฏในทางตำนาน  และแม้ในพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดเสนาอำมาตย์  ทั้งนักปราชญ์ ราชกวีในสมัยนั้น  ส่วนมากคงจะต้องมีความเข้าใจอย่างนี้
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ น่าจะมีพระประสงค์จะทรงฝากคติธรรม สำหรับเตือนพระบรมวงศานุวงศ์  ที่เสด็จเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปในโบสถ์พระแก้วเนืองๆว่า “พระบรมวงศานุวงศ์อย่างทรงวิวาทแย่งสมบัติกันเลย” จะถึงความย่อยยับอย่างกษัตริย์ในสมัยอยุธยา  โดยทรงขอเอาอานุภาพของพระพุทธเจ้า  ซึ่งปรากฏอยู่ในพระพุทธรูปปางนี้ ช่วยทรงเตือน  ช่วยทรงห้าม  ด้วยทรงหวั่นเกรงพระทัยอยู่มากว่า  พระบรมศานุวงศ์ จะเบาพระทัย ก่อการวิวาทเรื่องราชสมบัติขึ้น  ในเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว เพราะในเวลานั้น  สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ซึ่งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มีพระทัยมั่นหมาย จะให้เสวยราชสมบัติ สืบพระราชสันตติวงส์ ก็ยังทรงผนวชอยู่ แต่ก็เป็นบุญบารมี ดียิ่งของพระราชวงศ์จักรี  ทีมิได้มีเหตุการณ์ อันไม่เป็นมงคล ดังที่ทรงหวั่นเกรงพระทัยเกิดขึ้น  จะว่าเป้นด้วยบารมีของพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้  และอานุภาพของพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติทั้งสององค์ที่ทรงสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ  มีส่วนช่วยอภิบาล รักษาความสวัสดีของพระบรมราชจักรีวงศ์ด้วย  ก็น่าจะมีส่วนแห่งความจริงอยู่ไม่น้อย  ยิ่งกว่านั้น  สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงถวายพระนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นั้นว่า “พระพุทธยอดฟ้าจุฬา-โลก” องค์หนึ่ง   “ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย” องค์หนึ่ง  อันเป็นพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมอัยยกาธิราช  พระพุทธเลิศหล้านภาลัย องค์หนึ่ง อันเป็นพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมอัยยกาธิราช และสมเด็๗พระบรมชนกนารถ  ต้นปฐมบรมจักรีวงศ์ อีกด้วย  ซึ่งล้วนเป็นคุณเครื่องช่วยส่งเสริม พระทัย พระบรมวงศานุวงศ์  ให้ทรงเคารพเชื่อถือ เป็นอย่างดีอีกโสดหนึ่ง  ซึ่งจะช่วยให้สำเร็จสมพระราชปณิธานดังกล่าวแล้ว

ตามนัยนี้แสดงให้เห็นชัดว่า  พระพุทธรูปลักษณะนี้  ต้องเป็นปางห้ามพระญาติแย่งน้ำในสมุทร  และเป็นปางเดียวกันกับพระพุทธรุปปางห้ามสมุทร ซึ่งควรจะเรียกว่า ปางห้ามพระญาติ  มากกว่า  เพราะสมเหตุสมผล ตามเรื่องดังกล่าวแล้ว

            คราวนี้ ปัญหาก็ตามมาอีกว่า  เมื่อเป็นเช่นนั้น  อะไรเป็นเหตุให้นิยมเรียกพระพุทธรูปปางนี้ว่า “ปางห้ามสมุทร”  ทำไมจึงไม่เรียกว่าปางห้ามพระญาติ เสียแต่แรก
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  ชะรอยเกรงจะไปพ้องกับพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิเข้า  ด้วยสำเนียงพูดคล้ายคลึงกันมาก  ยิ่งสำเนียงพูดว่า พระ ของคนส่วนมากแล้ว  สำเนียงตัว ร รักษา กล้ำมักจะหายไป  เป็นเสียง พะ เสียหมด   ทั้ง ญา-ติ  ก็นิยมอ่านว่า ญาต  อยู่แล้ว  และ  ยา-ธิ  ก็นิยมพูดว่า ยาด  เช่นโรคพยาธิปากขอ  ไม่เห็นมีใครเรียกว่า  พยา-ธิปากขอ  หรือตัวพยาธิ ก็ไม่มีใครเรียกว่า ตัวพยา-ธิ  เช่นเดียวกัน   ดังนั้น  พระพุทธรูปปางห้ามพยา-ธิ  สำเนียงคนนิยมเรียกจึงเป็นสำเนียงว่า  ปางห้ามพะยาด  คล้ายกับสำเนียงเรียกพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติของพระพุทธเจ้า ซึ่งจำทำสงครามแย่งน้ำในสมุทรกัน    

            ดังนั้น  จึงชอบที่จะสงวนชื่อของพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติไว้  เพื่อเป็นเกียรติประวัติของพระพุทธรูปปางสำคัญนี้ ปางหนึ่งให้สมบูรณ์แบบ  และเพื่อเป็นสรีเป็นมิ่งขวัญ ควรแก่การเทิดบูชา สักการะ  และก็โปรดทราบไว้ด้วยว่า  พระพุทธรุปปางนี้  มิใช่ปางพระประจำวันจันทร์  ที่มักเข้าใจผิดไปว่า  พระประจำวันวันจันทร์  เป็นพระปางห้ามญาติ  หรือห้ามพระญาติ  คือยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามข้างเดียว พระพุทธรูปปางห้ามญาตินั้น  ต้องยกพระหัตถ์ ขึ้นห้ามทั้ง ๒ ข้าง  และเป็นปางเดียวกับพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรโดยเหตุผลดังกล่าวแล้ว
สำหรับพระพุทธรูปที่ถือเป็นพระประจำวันจันทร์นั้น  ต้องเป็นพระปางห้ามพยาธิหรือจะเรียกว่า ห้ามพยาธิ์  ก็ตามเถิด  เป้นพระยกพระหัตถ์ขวาขึ้นห้ามข้างเดียว  ซึ่งก็มีเกียรติประวัติอันสำคัญมาก  ควรแก่การเทิดทูนขึ้นเป็นศรีเป็นมิ่งขวัญ  เป็นพระประจำวันจันทร์ยิ่งนัก  แต่จะยังไม่กล่าวถึงในเวลานี้  จะเอาไว้กล่าวในตำนานพระพุทธรูปปางห้ามพยาธิ  ซึ่งนิยมเป็นพระประจำวันจันทร์

จบตำนานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร  แต่เพียงนี้

( จากตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ โดบ พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ  อนุจารี มหาเถระ)
จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธืหอไตร ๒๕๓๓  หน้า  ๗๔-๗๘ )

 

 

 

ไปหน้าสารบาญพระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

Free Web Hosting