ปางอธิษฐานเพศบรรพชิต
หรือ
ปางมหาภิเนษกรมณ์

            พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงาย วางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้งฝ่าพระหัตถ์ตรงพระอุระ เบนฝ่าพระหัตถ์ไปข้างซ้าย เป็นกิริยาสำรวมจิตอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตฯ พระพุทธรุปปางนี้ ไม่มีพระรัศมีบรพระเศียร ด้วยนิยมว่า พระรัศมีจะต่อเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ปางมหาภิเนษกรมณ์ ก็เรียก

 

 

พระพุทธรูปนี้ มีตำนาน ดังนี้

เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เจ้าบังเกิดเป็นสันตุสิตเทวราช เสวยทิพยสมบัติ อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ครั้งนั้นท้าวมหาพรหมและเทวราชในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ชวนกันไปเฝ้ากราบทูลอัญเชิญพระโพธิสัตว์เจ้า ได้จุติลงไปบังเกิดในมนุสสโลก  เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า แสดงธรรมสั่งสอนประชากร ให้รู้ธรรมและประพฤติธรรม สมดังที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมี ตั้งพระทัยไว้แต่แรก
ครั้นพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ทรงพิจารณาดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ ๑. กาลเวลา ๒. ประเทศ  ๓. ตระกูล ๔. มารดา ๕. อายุ   เห็นว่าอยู่ในสถานะอันสมควรแล้ว ก็ทรงรับคำทูลเชิญ ต่อมาก็เสด็จจุติลงมาปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี พระมเหสีของพระเจ้า-        สุทโธทนะ ณ เมืองกบิลพัศดุ์ แคว้นสักกะชนบท ปรากฏแก่พระนางเจ้าทรงพระสุบินนิมิต เมื่อเวลา ราตรี เพ็ญเดือน ๘ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ว่ามีพญาเสวตรกุญชรชาติ ชูดอกบัวบุณฑริก มีกลิ่นหอม เข้ามาเฝ้าพระนาง      ครั้นพระนางเจ้าตื่นบรรทมแล้ว     ได้นำความฝันขึ้นกราบทูล พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชสวามี ได้รับคำทำนายจากโหราจารย์ว่า จะมีราชโอรสเป็นชาย มีบุญญาภินิหาร ยิ่งใหญ่ หาผู้ใดเสมอมิได้ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงสดับ ก็ทรงโสมนัส โปรดให้แจ้งจัดการบริหาร พระครรภ์ พระราชเทวี เป็นอย่างดีทุกประการ
ครั้นพระนางเจ้ามายาราชเทวี ทรงพระครรภ์ถ้วนทสมาสแล้ว ได้ทูลลาพระสวามี เสด็จเยี่ยมพระญาติยังเทวทหะนคร โดยพระราชยานสีวิกามาศ ในวันวิสขปุณณมี เพ็ญเดือน ๖ ออกจากพระนครกบิลพัศดุ์ เวลาเช้า ถึงป่าลุมพินีสถาน อันตั้งอยู่ในระหว่างพระนครทั้งสอง อันเป็นรมณียสถาน เสด็จเข้าพักร้อนยัง ร่มไม้สาลพฤกษ์ ขณะนั้น ประจวบลมกัมมัชวาตหวั่นไหว ประชวนพระครรภ์ใกล้ประสูติ เจ้าพนักงานก็รีบจัดสถานที่ถวายเท่านที่จะจัดได้ พระนางเจ้าได้ประสูติ พระราชโอรส ในสถานที่อันเป็นมหามงคลนั้นโดยสวัสดี
เมื่อพระกุมารเสด็จจากครรโภทรของพระชนนีแล้ว ได้เสด็จดำเนินไปได้ ๗  ก้าว ดำรัสอาสภิวาจา เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งว่า :-
อคฺโคหมสฺมิ       โลกสฺมิ              เชฏฺโฐ เสฏฺโฐ  อนุตฺตโร
อยนฺติมา  เม  ชาติ                      นตฺถิทานิ  ปุนพฺภโว.
ความว่า
ในโลกนี้ เราเป็นยอด  เป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย
ภพใหม่ต่อไปไม่มีฯ ขณะนั้นโลกธาตุก็บังเกิด ปุพพนิมิตรปาฏิหาริย์ต่างๆ บันดาลให้แผ่นดินไหว เป็นมหัศจรรย์

            ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ก็ทรงโสมนัส ได้เสด็จมาอัญเชิญพระราชกุมาร พร้อมด้วยพระชนนี แวดล้อมด้วยราชบริวาร กึกก้องด้วยดุริยางค์ประโคมแห่เสด็จคืนเข้ามาพระนคร กบิลพัสดุ์   โปรดให้จัดพี่เลี้ยงนางนม พร้อมด้วยเครื่องสูงแบบกษัตริย์ บำรุงกระกุมาร กับจัดแพทย์ หลวงถวายการบริหารพระราชเทวีเป็นอย่างดี
ครั้งนั้นมีดาบสองค์หนึ่ง มีนามว่า กาฬเทวิล แต่มหาชนชอบเรียกว่า อสิตดาบส  ได้สมาบัติ ๘ มีฤทธิ์มาก เป็นกุลุปกาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ  ได้ทราบข่าวว่า ท้าวเธอได้พระราชโอรส  จึงได้เดินทางเข้าไปเฝ้าเยี่ยม เพื่อถวายพระพร  พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัย เสด็จออกต้อนรับท่าน กาฬเทวิลดาบส  และโปรดให้เชิญพระกุมารออกมา  เพื่อถวายนมัสการท่านกาฬเทวิล  แต่พระบาททั้งสองข้างของพระกุมารกลับขึ้นไปปราฏบนเศียรเกล้าของท่านกาฬเทวิล เป็นอัศจรรย์  ดาบสเห็นดังนั้นก็ตกใจ  แต่ครั้นพิจารณาดูลักษณะของพระกุมาร  ก็ทราบด้วยปัญญาญาณ  มีใจเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะออกมา ได้ด้วยปิติโสมนัส  ประนมหัตุ์นมัสการถวาย อภิวาทลงแทบพระบาทของพระกุมาร  และแล้วท่านดาบสกลับได้คิด เกิดโทมนัสจิต ร้องไห้ด้วยความเสียใจในวาสนาอาภัพของตน
พระเจ้าสุทโธทนะทรงแปลกพระทัย  ได้รับสั่งถามถึงเหตุการณ์ดีใจและเสียใจ ท่านอาจารย์ได้ทูลพยากรณ์ว่า  ที่ดีใจมาก  ก็เพราะเห็นว่าพระกุมารเป็นผู้วิเศษ  มีลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบูรณ์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้  จะเปิดโลกนี้ให้สว่างกระจ่างแจ้ง ด้วยแสงพระธรรม เป็นคุณที่น่ายินดียิ่งนัก  แต่เมื่ออาตมารำพึงถึงอายุสสังขารของอาตมา  ซึ่งชราเช่นนี้แล้ว  คงจะอยู่ไปไม่ทันเวลาของพระกุมาร  จะได้ตรัสรู้เป็นบรมครูสั่งสอน  จึงวิปฏิสารเสียใจ  มีอายุไม่ทั่นได้สดับรับรสพระธรรมเทศนา  จึงได้ร้องไห้

            ครั้นอสิสตดาบสถวายพระพรแล้ว  ก็ทูลลากลับไป  ไปบ้านน้องสาว นำข่าวอันนี้ไปบอก นาลกมานพ หลานชาย และกำชับให้พยายามออกบวชตามพระกุมาร ในกาลเมื่อหน้าโน้นเถิด
ครั้นถึงวันคำรบ ๕ นับแต่พระกุมารประสูติมา พระเจ้าสุทโธทนะ โปรดให้ทำพระราชพิธีโสรจ สรงพระกุมารในสระโบกขรณี เพื่อถวายพระนามตามขัตติยราชประเพณี  โปรดให้ตกแต่งพระราชนิเวศน์ให้วิจิตรงามเป็นพิเศษ ให้ประชุมกษัตริย์  พราหมณ์  คหบดี  และเสนามุขอำมาตย์ ทั้งปวง  และโปรดให้เชิญพระโอรส ซึ่งประดับด้วยราชประสาธนาภรณ์งามเพริศพริ้ง มาสู่มหาสันนิบาตส  แล้วเชิญพราหมณาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในไตรเพท ๑๐๘ คน ให้เลือกสรรเอาพราหมณ์ผู้ ทรงคุณวิทยาประเสริฐกว่าพราหมณ์ทั้งหมดนั้น ๘ คน ให้นั่งเหนืออาสนะอันสูง แล้วให้เชิญพระกุมารมายังที่ ประชุมพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น เพื่อพิจารณาลักษณะพยากรณ์
ในพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น ยกโกณฑัญญะพราหมณ์ผู้เดียว ได้พร้อมกัน พยากรณ์พระกุมาร เป็น ๒ คติ คือ พระกุมารนี้ผิว่าจะสถิตอยู่ในฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผิว่าออกบรรพชา จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่โกณฑัยญะพราหมณ์ผู้เดียว ได้พิจารณาเห็นแท้แน่นอนแก่ใจ ได้ยกนิ้วมือนิ้วเดียว ทำนายเป็นคติเดียวว่า ลักษณะพระกุมารเป็นลักษณะพระมหาบุรษพุทธลักษณะโดยส่วนเดียว จะไม่อยู่ครองฆราวาส และจะเสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้
อนึ่ง ได้พร้อมกันถวายพระนามพระกุมาร ตามคุณพิเศษที่ปรากฏโดยที่พระกุมารมีพระรัศมีโอภาสแผ่ซ่านออกจากพระสรีระกายเป็นปกติ จึงถวายพระนามว่า “ อังคีรส”  และเพราะพระกุมาร ต้องพระประสงค์สิ่งใด สิ่งจะต้องพลันได้ดังประสงค์ จึงได้ถวายพระนามว่า  “ สิตธัตถะ “ แต่มหาชนนิยมเรียกตามพระโคตร “ โคตรมะ “ ในวันนั้นบรรดาขัติยวงศ์ ศากยราชทั้งหมด มีความปิติโสมนัสยิ่งนัก ต่างได้ทูลถวายพระโอรสองค์ละองค์ๆสิ้นด้วยด้วยกัน เป็นราชบริพารของพระสิทธัตถะกุมาร

            ส่วนพระนางเจ้ามายาเทวี เมื่อทรงประสูติพระบรมโพธิสสัตว์เจ้าล่วงไปได้ ๗ วัน ก็เสด็จทิวงคต ไปบังเกิดเป็นเทพบุตร สถิตอยู่ในดุสิสตเทวโลก ตามประเพณีพุทธมารดา พระเจ้า           สุทโธทนะ จึงได้มอบการบำรุงรักษาพระสิทธัตถะกุมาร ให้เป็นภาระแก่พระนางปชาบดีโคตรมี พระเจ้าน้า ซึ่งก็เป็นมเหสีของพระองค์ด้วย แม้พระนางปชาบดี ก็ทรงมีพระเมตตารักใคร่พระกุมาร เป็นที่ยิ่ง เอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงพระกุมารเป็นอย่างดี แม้ต่อมาพระนางเจ้า จะทรงมีพระโอรสถึง ๒ พระองค์ คือ นันทกุมาร และรูปนันทากุมารี  ก็ทรงมอบภาระให้แก่พี่เลี้ยงนางนม บำรงุรักษา ส่วนพระนางเจ้าทรงเป็นธุระบำรุงพระสิทธัตถะกุมาร ด้วยพระองค์เอง
ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันพระราชพิธีวัปปมงคล งานแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะ เสด็จไปแรกนาขวัญในงานพระราชพิธีนั้น ก็โปรดให้เชิญพระกุมารไปด้วย ครั้นเสด็จถึงภูมิสถานที่แรกนาขวัญ ก็โปรดให้จัดร่มไม้หว้า ซึ่งหนาแน่นด้วยกิ่งใบอันอยู่ใกล้สถานที่นั้น  ให้เป็นที่ประทับของพระกุมาร โดยแวดวงด้วยม่านอันวิวิตร ครั้นถึงเวลาพระเจ้าสุทโธทนะทรงไถแรกนาขวัญ บรรดาพระพี่เลี้ยงนางนม ที่เฝ้าถวายบำรุงรักษาพระกุมาร พากันหลีกออกมาดูพิธีนั้นเสียหมด ปล่อยให้พระกุมาร ประทับ ณ ภายใต้ร่มไม้หว้า พระองค์เดียว
เมื่อพระกุมารเสด็จอยู่พระองค์เดียว ได้ความสงัดเป็นสสุขก็ทรงนั่ง่ขัดสมาธิ เจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ยังปฐมฌานให้บังเกิด เวลานั้นเป็นเวลาบ่ายเงาต้นไม้ทั้งหลายย่อมชายไปตามแสงตะวันทั้งสิ้น แต่เงาไม้หว้านั้นดำรงทรงรูปปรากฏเป็นปริมณฑลตรงอยู่ดุจเวลาตะวันเที่ยง เป็น มหัศจรรย์  เมื่อพี่เลี้ยงนางนมทั้งหลาย กลับมาเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็พลันพิศวง จึงรีบไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะราช  ท้าวเธอได้ทรงสดับก็รีบเสด็จมาโดยเร็ว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็น ปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์เช่นนั้น ก็ยกพระหัตถ์ถวายอภิวันทนาการ ( ออกโอษฐ์ตรัสว่า เมื่อวันเชิญ มาให้ถวายนมัสการพระกาฬเทวิลดาบส ก็ทรงทำปฏิหารย์ขึ้นไปยืนบนชฏาพระดาบส อาตมาก็ได้ ประณต ครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้อาตมาก็ได้ถวายอัญชลีเป็นวาระที่ ๒ ) ตรัสแล้วก็ได้อัญเชิญพระกุมารเสด็จคืนเข้าพระนคร ด้วยความเบิกบานพระทัย

            ครั้นพระสิทธธัตถะกุมารมีพระชนมืเจริญ ควรจะศึกษาศิลปะวิทยาได้แล้ว พระราชบิดา จึงทรงมอบไว้ในสำนักครูวิศวามิตร  พระกุมารทรงศึกษา ได้ว่องไวจนสิ้นความรู้ ของอาจารย์ ต่อมาได้ทรงแสดงศิลปะธนู ซึ่งถือว่า เป็นวิชาสำคัญของกษัตริย์  ในท่ามกลางขัตตยวงศ์ศากยราช และเสนามุขอำมาตย์ แสดงความแกล้วกล้า สามารถ เป็นเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมถึง ให้ปรากฏเป็นอัศจรรย์
ครั้นพระกุมารเจริญด้วยพระชนมพรรษา สมควรมีพระเทวีได้แล้ว พระราชบิดา โปรดให้สร้าง ปราสาท ๓ หลัง งดงาม เพื่อเป็นที่เสด็จประทับอยู่ของพระราชโอรสประจำ ๓ ฤดู เป็นที่สบายในฤดูนั้นๆ อย่างสมเกียรติ แล้วตรัสของพระนางยโสธรา  แต่นิมยาเรียกว่า พระนางพิมพา พระราชบุตรีของพระเจ้าสสุปปพุทธะ ในเทวทหะนคร อันประสูติแต่พระนางอมิตา  พระกนิฏฐภคินี ของพระองค์มาอภิเษก ให้เป็นพระชายา พระสิทธัตถุกุมารเสด็จมาอยู่ยังปราสาท ทั้ง ๓ นั้น ตามฤดูทั้ง ๓ บำเรอด้วยดนตรี ล้วนแต่สตรีประโคมขับ ไม่มีบุรุษเจือปน เสวยสุขสมบัติทั้งกลางวันกลางคืน จนพระชนม์ได้ ๒๙ ปี มีพระโอรสประสูติแต่พระนางพิมพา พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ราหุลกุมาร
วันหนึ่งพระสิทธัตถะเสด็จประพาสพระราชอุทยาน โดยรถพระที่นั่ง ได้ทอดพระเนตร เห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ซึ่งเทพยดานิมิตให้เห็นในระยะทาง ทรงเบื่อหน่ายในกามคุณ ตั้งต้นแต่ได้เห็น คนแก่เป็นลำดับไป
ทรงหยั่งเห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ครอบงำมหาชนอยู่ทุกคน ล่วงพ้นไปได้เป็นอย่างนั้น ก็เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังคำสอนของนักปราชญ์ เห็นผู้อื่น แก่ เจ็บ ตาย ย่อมเบื่อหน่ายเกลียดชัง ไม่คิดถึงตัวว่า จะต้องเป็นเหมือนอย่างนั้นบ้าง เมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และในชีวิต เหมือนหนึ่งว่า จะไม่ต้อง แก่ เจ็บ ตาย ขวนนขวาย หาแต่ของอันมีสภาวะเช่นนั้น ไม่คิดหาอุบาย เครื่องพ้นบ้างเลย ถึงพระองค์ก็มีอย่างนั้นเป็นธรรม แต่การที่จะเกลียดเบื่อหน่ายเหมือนอย่างเขา ไม่ควรแก่พระองค์เลย
เมื่อดำริอย่างนี้แล้ว ก็ทรงบรรเทาความเมา ๓ ประการ กับทั้งความเพลิดเพลินในกามสมบัติเสสสียได้ จึงทรงดำริต่อไปว่า ธรรมดาสภาวะทังปวง ย่อมมีของที่เป็นข้าศึกแก่กัน คือมีร้อน ก็มีเย็นแก้  มีมืดก็มีสว่างแก้ บางทีจะมีอุบายแก้ทุกข์ ๓ อย่างนั้น เป็นการยากมาก ยิ่งผู้ที่ยังอยู่ใน ฆราวาสวิสัยแล้ว จะแสวงหาไม่ได้เลย เพราฆราวาสนี้เป็นที่คับแค้นนัก ทั้งเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์อันทำใจ ให้เศร้าหมอง เหตุด้วยความรัก ความชัง ความหลง เป็นดุจทางมาแห่งธุลี ส่วนบรรพชาเป็น ช่องว่าง พอเป็นที่แสวงหาอุบายนั้นได้ ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้ว ก็มีพระอัธยาศัยน้อมไปในบรรพชา ไม่ยินดีในฆราวาสสมบัติ เมื่อทรงแน่พระทัยว่า บรรพชาเป็นอุบายให้แสวงธรรม เป็นเครื่องพ้นทุกข์ ได้เช่นนั้น ก็ทรงโสมนัส เสด็จกลับพระราชวัง
ครั้นพระสิทธัตถะทรงน้อมพระทัย เสด็จออกบรรพชาเช่นนั้น ก็ทรงเห็นว่า ทางที่จะให้พรองค์ออกบรรพชาได้นั้น มีทางเดียวคือเสด็จออกจากพระนคร ตัดความอาลัย ความเยื่อใยในราชสมบัติ พระชายา และพระโอรส กับทั้งพระยุรญาติ ตลดราชบริพาร ทั้งสิ้นเสีย ด้วยหากจะทูลพระราชบิดา ก็คงจะถูกทัดทาน ยิ่งมวลพระประยุรญาติทราบเรื่อง ก็จะรุมกันห้ามปราม การเสด็จออก ซึ่งหน้า ไม่เป็นผลสำเร็จได้ เมื่อทรงตั้งพระทัยเสด็จหนีเช่นนั้นแล้ว ในราตรีนั้นเอง เสด็จบรรทมแต่หัวค่ำ ไม่ทรงใยดีในการขับประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรี ของพวกราชกัญญาทั้งหลาย ที่ประจงจัดถวาย บำรุงบำเรอ ทุกประการ

            เมื่อพระสิทธัตถะทรงตื่นบรรทมในเวลาดึกสงัด ได้ทอดพระเนตรเห็นนางบำเรอเหล่านั้น นอนหลับเกลื่อนอยู่ภายในปราสาท ซึ่งสว่างด้วยแสงประทีป บางนางอ้าปาก กัดฟัน น้ำลายไหล บางนางผ้าหลุด บางนางกอดพิณ บางนางก่ายเปิงมาง บางนางบ่น ละเมอ นอนกลิ้งกลับไปมา ปรากฏแก่พระสิทธัตถะดุจซากศพอันทิ้งอยู่ในป่าช้า  ปราสาทอันงามวิจิตรแต่ไหนแต่ไรมา ได้กลายเป็นป่าช้าปรากฏแก่พระสิทธัตถะ ในขณะนั้น เป็นการเพิ่มกำลังความดำริ ในการออกบรรพชา ในเวลาย่ำค่ำขึ้นอีก ทรงเห็นบรรพชาในทางที่ห่างอารมณ์อันล่อให้หลงและมัวเมา เป็นช่องที่จะบำเพ็ญปฏิบิให้เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ทำชีวิตให้มีผลไม่เป็นหมัน ครั้นทรงตกลงพระทัยเช่นนั้น ก็เตรียมแต่งพระองค์ทรงพระขรรค์ รับสั่งเรียกนายฉันนะ อำมาตย์ ให้เตรียมผูกม้า กัณฐกะ เพื่อเสด็จออกในราตรีนั้น
ครั้นตรัสสั่งแล้วก็เสด็จไปยังปราสาทนางพิมพาเทวี เพื่อทอดพระเนตรพระราหุลกุมาร พระโอรสองค์เดียวของพระองค์ เห็นพระนางบรรทมหลับสนิท พระกรกอดพระโอรสอยู่ ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย ก็เกรงพระนางจะตื่นบรรทมเป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออก บรรพชา จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาพระโอรส เสด็จออกจากห้อง เสด็จลงมาจากปราสาท พบนายฉันนะ เตรียมม้าพระที่นั่งไว้พร้อมแล้ว ก็เสด็จขึ้นม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะ ตามเสด็จหนึ่งคน เสด็จออกจากพระนครในราตรีกาล ซึ่งเทพยดา ก็บันดาลเปิดทวารพระนคร ไว้ให้เสด็จโดยสวัสดี
เมื่อเสด็จพ้นจากพระนครไปแล้ว พญาวัสวดีมารก็มาขัดขวางทางเสด็จ ทูลว่า อีก ๗ วัน สมบัติพระเจ้าจักพรรดิ ก็จะมาถึงพระองค์แล้ว อย่าเพ่อรีบเสด็จออกบรรพชาเลย พระองค์ตรัสว่า แม้เราก็ทราบแล้ว แต่สมบัติจักพรรดิ หาทำให้ผู้เสวยพ้นทุกข์ได้ไม่ ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อทรงขับพญามารแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกราช บ่ายหน้าสู่มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัศดุ์บุรี
ครั้นเวลาใกล้รุ่งปัจจุสมัย ก็บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที ทรงขับม้ากัณฐกะ กระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่า พ้นเขตกบิลพัศดุ์บุรีแล้ว  ก็เสด็จลงจาหลังอัศวราชประทับนั่งเหนือหาดทรายขาวสะอาด รับสั่งแก่นายฉันนะว่า เราจักบรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิต ในที่นี้ ท่านจงเอาเครื่องประดับกับม้าสินธพกลับพระนครเถิด ครั้นตรัสแล้ว ก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับสำหรับ ขัตติยราชทั้งหมดมอบให้แก่นายฉันนะ ตั้งพระทัยปรารถนาจะทรงบรรพชา ทรงจับพระโมลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ตัดพระโมลี ให้ขาดออกเรียบร้อยด้วยพระองค์เอง แล้วจับพระโมลีโยนขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้นสมเด็จจอมรินทราธิราช ก็ทรงเอาผอบทองมารองรับพระโมลีเอาไว้ แล้วนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถาน ในเทวโลก
ขณะนั้น ฆฏิการพรหม ก็นำเอาผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตรมาจากพรหมโลก น้อมเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะ ทรงรับเอาแล้ว ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัย ของพระอรหันต์ แล้วทรงตั้งพระหฤทัยอธิษฐานเพศ เป็นบรรพชิต อันเป้นอุดมเพศ แล้วทรงประทานผ้าทรงทั้งคู่ที่เปลื้องออกมอบให้แก่ ฆฏิการพรหม   ฆฏิการพรหม ก็น้อมรับเอาผ้าคู่นั้นไว้ บรรจุไว้ใน ทุสสเจดีย์ ในพรหมโลกสถาน.

จบตำนานพระพุทธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชิตแต่เพียงเท่านี้

( จากหนังสือตำนานพระพุทธรูปปางต่าง นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม  ราชบัณฑิต ( ชอบ อนุจารี มหาเถระ) 
จัดพิมพ์โดย โครงการมูลนิธิหอไตร  ๒๕๓๓ หน้า ๒-๑๑ )

           

 

ไปหน้าสารบาญพระพุทธรูปปางต่างๆ

HOME

 

Free Web Hosting